Nov 11, 2009

ตอนที่ ๑ : เรื่องเล่าจากหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

................


ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

เมื่อครั้งมหาโยคีมิลาเรปะ ขณะจำสันโดษเพื่อเจริญมหามุทรา[1] อยู่ในถ้ำ ณ หุบเขาอัญมณีศิลาแดง ท่านเกิดความหิว จึงดำริจะหุงหาอาหาร พลันก็พบว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งฟืน เกลือ น้ำมัน แป้ง และแม้แต่น้ำ "ดูเหมือนข้าจะละเลยมากเกินไป" ท่านรำพึงกับตัวเอง "ข้าต้องออกไปหาอาหาร หาฟืน และน้ำ"


ขณะที่ท่านกำลังรวบรวมกิ่งไม้ได้มัดหนึ่ง ทันใดก็เกิดพายุลูกใหญ่พัดมา ลมพายุแรงจนพาเอากิ่งไม้ปลิวกระจายไป และพัดผ้าพันกายเก่า ๆ ของท่านจนปลิวว่อน เมื่อท่านพยายามรั้งผ้าพันกายไว้ กิ่งไม้ก็ถูกลมพัดไปเสียแล้ว ครั้นท่านพยายามจะคว้ากิ่งไม้ไว้ ผ้าพันกายของท่านก็ปลิวไปกับลมพายุเสียอีก


ท่านมิลาเรปะรำพึงกับตัวเอง "ดูเถิด แม้ว่าข้าจะปฏิบัติธรรมและจำศีลถือสันโดษมาเป็นเวลานาน แต่ข้าก็ยังไม่สามารถกำจัดความติดยึด การปฏิบัติธรรมจะมีประโยชน์อันใดเล่า ถ้ายังไม่สามารถละความติดยึดเหล่านี้ได้ ขอให้พัดไปเถิด ถ้าลมอยากจะพัดเอากิ่งไม้ของข้าไป พัดไปเถิด หากลมพายุอยากจะพัดผ้าพันกายของข้าจนขาดวิ่น" ท่านยุติการต้านทานต่อกระแสลมพายุ แต่ด้วยร่างกายอ่อนแอและขาดอาหาร ดังนั้น เมื่อลมพัดมาอีกระลอกหนึ่ง ท่านจึงล้มลงและหมดสติไป

เมื่อพายุสงบลงแล้ว ท่านฟื้นขึ้นมาและเหลือบเห็นเศษผ้าพันกายเก่า ๆ ปลิวไปติดอยู่บนยอดไม้ ขณะจิตนั้นท่านรู้สึกถึงความปล่อยวางอย่างลึกซึ้ง จึงนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ และเจริญสมาธิ


กลุ่มเมฆสีขาวปรากฏขึ้นทางหุบเขาโดรโว ไกลออกไปทางทิศตะวันออก "เบื้องใต้กลุ่มเมฆนั้นคือที่พำนักของท่านอาจารย์มาร์ปะ[2]" ท่านมิลาเรปะรำพึง "ณ ขณะนี้ท่านอาจารย์และภรรยาของท่านคงกำลังแสดงตันตระธรรม คงกำลังประกอบพิธีอภิเษก และให้คำสอนแก่พี่น้องของข้า ถ้าข้าสามารถไปที่นั้นได้เดี๋ยวนี้ ข้าคงได้พบท่านอาจารย์" ความปรารถนาที่จะได้พบท่านอาจารย์มาร์ปะท่วมท้นอยู่ในหัวใจของท่าน แต่เมื่อหวนนึกถึงความจริงว่าคงหมดหวังจะได้พบท่านอาจารย์แน่แล้ว น้ำตาพลันนองใบหน้า ท่านมิลาเรปะจึงขับขานคีตาโศลกนี้ “ครุ่นคำนึงถึงอาจารย์ข้า"


ยามข้าครุ่นคำนึงถึงท่าน

ท่านอาจารย์มาร์ปะ

ความทุกข์ของข้าได้รับการบรรเทา

ข้าเป็นเพียงยาจกผู้ยากไร้

บัดนี้ จะขับขานบทเพลงแห่งศรัทธา


เหนือหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

ห่างไปทางทิศตะวันออก

กลุ่มเมฆขาวลอยละล่อง

เบื้องใต้นั้น

ประหนึ่งช้างเชื่องเชือกหนึ่ง

และทิวเขาสูงตระหง่าน

เบื้องข้าง

ประหนึ่งสิงห์กำลังเผ่นกระโจน

โผนทยานสู่ยอดเขาลูกถัดไป


ณ ศิลาก้อนใหญ่

ภายในนิวาสแห่งหุบเขาโดรโว

ใครกำลังนั่งอยู่ที่นั้น

ใช่ท่านอาจารย์มาร์ปะหรือเปล่า

หากว่าเป็นท่าน ข้าคงปีติยิ่ง

แม้ว่าข้าจะพร่องการบูชา

แต่ข้าก็ยังปรารถนาจะพบท่าน

แม้ว่าข้าจะอ่อนศรัทธา

แต่ข้าก็ยังปรารถนาจะเข้าร่วมกับท่าน

ยิ่งภาวนามากเท่าใด

ข้ายิ่งครุ่นคำนึงถึงท่านเท่านั้น


แม่นางดักมีม่า ภรรยาของท่าน

พำนักอยู่ที่นั้นด้วยหรือไม่

ข้ากตัญญูต่อนางมากกว่ามารดาของข้าเองเสียอีก

หากนางพำนักอยู่ด้วยท่าน

ข้าคงยินดีและมีความสุข

แม้ว่าหนทางจะแสนไกล

แต่ข้าก็ปรารถนาจะพบนาง

แม้หนทางจะอันตราย

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเข้าร่วมกับนาง

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


จะปลื้มปีติเพียงใด

หากข้าอยู่ในที่ชุมนุมนั้นด้วย

ท่านคงกำลังสอนเหวัชรตันตระ

แม้ว่าจิตของข้าจะสามัญ

แต่ข้าก็ปรารถนาจะร่ำเรียน

แม้ว่าข้าจะโง่เขลาเบาปัญญา

แต่ข้าก็ปรารถนาจะท่องจำ

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


ท่านคงกำลังแสดงอภิเษกญาณ ๔

หากแม้นข้าได้ร่วมด้วย

ข้าคงเบิกบานและปีติ

แม้ว่าข้าจะบุญน้อย

แต่ข้าก็ปรารถนาจะได้รับการอภิเษก

แม้ว่าข้าจะยากจนด้วยเครื่องบูชา

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเข้าร่วม

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


ท่านคงกำลังสอนโยคะ ๖ ประการของท่านนาโรปะ

หากว่าข้าได้ฟังคำสอนของท่าน

ข้าคงเบิกบานและปีติ

แม้ว่าข้าจะด้อยความเพียร

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเรียนรู้

แม้ว่าข้าจะอ่อนมานะ

แต่ข้าก็ปรารถนาจะฝึกตน

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


พี่น้องของข้าจากแคว้นวูและซางคงอยู่รวมกันที่นั่น

ข้าปีติและยินดีกับพวกเขา

แม้ประสบการณ์และความตื่นตระหนักของข้าจะต่ำชั้นกว่า

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเทียบกับพวกเขา

ด้วยศรัทธาและความนับถือจากส่วนลึกที่สุด

ข้าไม่เคยแยกออกจากท่าน

บัดนี้ข้าทนทุกข์ด้วยปรารถนาจะพบท่าน

ศรัทธาแรงกล้านี้กำลังทรมานข้า

ความทุกข์นี้ทำให้ข้าหายใจไม่ออก


ข้าขออธิษฐานต่อท่าน

อาจารย์ผู้เปี่ยมเมตตา

โปรดช่วยปลดปล่อยข้าจากความทุกข์นี้ด้วยเถิด


มิทันที่ท่านมิลาเรปะจะขับขานบทเพลงจบ ท่านอาจารย์มาร์ปะก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีรุ้งสะท้อนผ้าพันกายเป็นสีเบญจรงค์ ท่านมีสิงห์เป็นพาหนะ ใบหน้าของท่านเปล่งประกายรัศมี ท่านเดินเข้าใกล้และกล่าวแก่ท่านมิลาเรปะดังนี้

"เจ้าหมอผีผู้วิเศษ[3] ลูกชายของเรา ใยเจ้าดิ่งลึกอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น" ท่านมาร์ปะถาม "เจ้าใช่ไหมที่เรียกพบข้าด้วยดวงจิตอันแรงกล้า เหตุใดเจ้าจึงต่อสู้ดิ้นรนเหลือเกิน เจ้าไม่ได้ศรัทธาในคุรุสาวกแห่งพุทธะแล้วกระนั้นหรือ หรือโลกภายนอกรบกวนจิตของเจ้า หรือโลกียวายุทั้ง ๘[4] โหยหวนในถ้ำของเจ้า ความกลัวและความปรารถนาได้ดูดเอาพลังของเจ้าไปหมดแล้วหรืออย่างไร หรือเจ้าไม่ได้บูชาพระรัตนตรัย หรือเจ้าไม่ได้อุทิศส่วนกุศลของเจ้าแก่สัตว์โลกตลอดภพภูมิทั้ง ๖ หรือเจ้ายังเข้าไม่ถึงเมตตาธรรมอันจักสามารถชำระอกุศลกรรม และเพิ่มบุญวาสนา ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม ขอเจ้าจงแน่ใจว่าเรามิได้แยกออกจากเจ้าเลย ด้วยหมายมั่นในพระธรรม และประสงค์ช่วยเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ขอเจ้าจงภาวนา จงเจริญสมาธิต่อไปยิ่ง ๆ ขึ้น"


ภาพบันดาลของอาจารย์มาร์ปะ ยังความปีติแก่ท่านมิลาเรปะเป็นยิ่งนัก ท่านจึงขานตอบด้วยคีตาโศลกนี้


ยามนิมิตเห็นใบหน้าอาจารย์ข้า

ได้สดับสำเนียงวาจาท่าน

ข้าผู้เป็นยาจกยากไร้

ปราณในหัวใจของข้าก็พลันสั่นสะท้าน

ยามระลึกได้ถึงคำสอนของท่านอาจารย์

มนัสข้าเปี่ยมด้วยบูชา

ยามข้าได้รับพรอันประเสริฐจากท่าน

ความคิดอกุศลทั้งปวงอันตรธานสิ้น


คีตาโศลก "ครุ่นคำนึงถึงอาจารย์"

อันข้าร่ายจากก้นบึ้งหัวใจ

ท่านคงได้สดับแล้ว

กระนั้น ข้ายังคงมืดบอด

ขอท่านโปรดสาธยายเพื่อเป็นมงคลคุ้มครองข้าด้วยเถิด


ด้วยความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ

คือเครื่องบูชาสูงสุดที่ข้ามอบแด่ท่าน

เพื่อยังความพึงใจแด่ท่าน

ข้าจะภาวนาอย่างเข้มข้น

การจำศีลสันโดษภายในถ้ำอย่างอดทน

คือการรับใช้สูงสุดต่อฑากิณี[5]

การอุทิศตนแด่พระธรรมอันประเสริฐ

คือการรับใช้อันเลิศแด่พระพุทธเจ้า

ขออุทิศตัวข้าแก่ภาวนามัย

เพื่อช่วยเพื่อนทุกข์ผู้เวียนว่ายตายเกิด

การยอมรับความตายและความเจ็บป่วย

คือพรวิเศษอันช่วยชำระบาป

ข้าจะละเลิกการเสพอันไม่ควร

เพื่อบรรลุถึงความตระหนักและรู้แจ้ง

ข้ามอบกตัญญุตาแด่ท่านอาจารย์

ด้วยการตั้งจิตมั่น และภาวนาอีกครั้ง


ขอท่านได้โปรดประทานพรคุ้มครองข้า

โปรดดลให้ข้า ยาจกคนนี้

มั่นในศีลสันโดษตลอดไปด้วยเทอญ


เมื่อจิตยินดีแล้ว ท่านมิลาเรปะจึงขยับผ้าพันกายให้เรียบร้อย และรวบกิ่งไม้กำมือหนึ่ง เดินกลับถ้ำ ครั้นมาถึงภายในถ้ำ ต้องตกใจกับการเผชิญอสูรซึ่งมีใบหน้าดุร้ายและดวงตากลมใหญ่ ๕ ตน ตนหนึ่งกำลังนั่งร่ายมนต์อยู่บนที่นอนของท่าน อสูรตนที่สองกำลังฟังคำร่ายมนต์ของอสูรตนแรก ตนที่สามและสี่กำลังประกอบอาหาร และอสูรตนที่ห้ากำลังพลิกดูสมุดคัมภีร์ของท่าน

"นี่ต้องเป็นการปรากฏฤทธิ์ของเจ้าที่ซึ่งไม่ชอบข้าแน่ ๆ " ท่านคิด "แม้ว่าข้าจะจำศีลอยู่ที่ถ้ำนี้มานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางเลย" เมื่อคิดดังนั้น ท่านมิลาเรปะจึงขับขาน "บทเพลงสรรเสริญเจ้าที่แห่งหุบเขาอัญมณีศิลาแดง"


ณ สันโดษสถาน อันเป็นที่พำนักของข้าแห่งนี้

คือสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงโปรด

คือที่อาศัยของผู้บรรลุ

คือที่หลีกลี้อันข้าอยู่อย่างสันโดษ


เหนือหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

เมฆขาวเลื่อนลอยล่อง

ต่ำลงไปเบื้องล่าง

แม่น้ำซางไหลเอื่อย

เบื้องกลางหว่างท้องฟ้าและสายน้ำ

นกแร้งบินโฉบวนเวียน

ฝูงผึ้งระเริงรื่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้

ฝูงวิหคบินโฉบไปมาบนคาคบ

ส่งเสียงประสานเป็นเพลงกลางอากาศ


ณ หุบเขารัตนชาดแห่งนี้

ฝูงนกกระจอกน้อยฝึกบิน

หมู่วานรโลดโผนกระโจนคล่อง

สิงห์สาราสัตว์ทะยานไปทั่ว


ข้ากำลังฝึกโพธิจิตทั้งสอง[6]

และจดจ่อในสมาธิ

เทพ อสูร แลปีศาจทั้งหลาย

ท่านล้วนเป็นมิตรแห่งข้า มิลาเรปะ

ขอเชิญดื่มน้ำทิพย์แห่งกรุณา

จากนั้นเชิญพวกท่านกลับสู่นิวาสถานของท่านเถิด


แต่อสูรทั้ง ๕ ยังคงอยู่ จ้องเขม็งมายังท่านมิลาเรปะ อสูรตนแรกเริ่มแสดงใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว ตนที่สองเริ่มแยกเขี้ยวยิงฟัน อสูรตนที่สามเปล่งเสียงหัวเราะสยดสยองดังลั่น อสูรทั้งหลายพยายามหลอกหลอนให้ท่านเกิดความกลัว

ท่านมิลาเรปะรู้เท่าทันความต้องการของเหล่าอสูร จึงเพ่งสมาธิให้เกิดความน่าเกรงขาม และบริกรรมคาถาอย่างเคร่งขลัง แต่เหล่าอสูรก็ยังไม่ยอมไป ท่านจึงหันมาแสดงธรรมด้วยจิตอันเปี่ยมด้วยความกรุณา แต่กระนั้นอสูรทั้งหมดก็ยังคงอยู่

ในที่สุดท่านจึงเปรยขึ้นว่า "เพราะคำสอนอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาของท่านอาจารย์มาร์ปะ ข้าจึงได้ตระหนักว่าสรรพสัตว์และปรากฏการณ์ทั้งหมดล้วนก่อขึ้นจากจิตของเรานี่เอง จิตเดิมนั้นโปร่งใสด้วยความว่าง ใยข้าช่างโง่เขลาที่คิดพยายามขับไล่ร่างปรากฏของเหล่าอสูร"


ดังนั้น ท่านจึงขับคีตาบทใหม่ชื่อว่า "บทเพลงแห่งความตระหนักรู้" ด้วยอารมณ์อันห้าวหาญ


ขอน้อมคารวะท่านอาจารย์มาร์ปะ

ผู้เป็นเลิศแห่งการแปล[7]

ผู้ชนะมารทั้ง ๔[8]


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งนางสิงห์หิมะ ดาร์เซ็น คาร์โม

ปราณโคจรทั้งสาม[9]ของข้าบริบูรณ์แต่ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในถ้ำ

วัยเยาว์ ข้าเฝ้ามองหนทาง

วัยฉกรรจ์ ข้าพำนักอยู่บนภูเขาสูง

แม้ลมพายุจากยอดเขาหิมะจะกราดเกรี้ยวรุนแรง

ข้าก็ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง

แม้หน้าผาจะสูงชันและเต็มไปด้วยภยันตราย

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งพญาครุฑ

ปีกและขนของข้าเจริญแต่ครั้งยังอยู่ใต้เปลือกไข่

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในรัง

วัยเยาว์ ข้าเฝ้ามองหาทาง

วัยฉกรรจ์ ข้าโบยบินอยู่บนฟากฟ้า

แม้ท้องฟ้าจะสูงและกว้างไกล

ข้าก็ไม่หวาดหวั่น

แม้หนทางจะแคบและสูงชัน

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งเจ้ามัจฉา ยาเชน โยร์โม

ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา ดวงตาข้ากลอกกลิ้ง

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในกลุ่ม

วัยเยาว์ ข้าหัดว่ายตามสายธาร

วัยฉกรรจ์ ข้าแหวกว่ายกลางสมุทร

แม้คลื่นลมจะแรงและน่ากลัว

ข้าก็ไม่หวั่นพรั่นใจ

แม้ตะขอเบ็ดเรียงรายรอบ

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรของลามะแห่งนิกายกาจู

ศรัทธาเปี่ยมแต่ครั้งข้าอยู่ในครรภ์มารดา

วัยทารก ข้าเข้าสู่ประตูแห่งพระธรรม

วัยเยาว์ ข้าศึกษาพระสูตร

วัยฉกรรจ์ ข้าถือสันโดษอยู่ในถ้ำ

แม้ภูติผี ปีศาจ แลอสูรจะปรากฏเป็นทวี

ข้าก็ไม่ครั่นคร้าม


กรงเล็บของสิงห์หิมะไม่เคยหนาวแข็งติดกัน

เพราะชื่อว่าเป็นพญาราชสีห์ย่อมเพียบพร้อมด้วยพลังทั้ง ๓

พญาครุฑย่อมมิอาจล่วงหล่นจากฟากฟ้า

หากเป็นเช่นนั้น คงถูกเย้ยหยัน

เหล็กกล้าย่อมมิอาจกระเทาะด้วยศิลา

หากเปราะเช่นนั้น จะคงเป็นโลหะได้อย่างไร

ตัวข้า มิลาเรปะ

ย่อมไม่หวาดกลัวต่ออสูรและภูติพราย

หากข้าประหวั่นพรั่นพรึงเพราะถูกหลอกหลอน

ยังจะมีประโยชน์อันใดต่อทางรู้แจ้งของข้าอีก


พวกเจ้าเหล่าปีศาจ เปรต อสุรกาย

ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม

ข้าขอต้อนรับพวกเจ้าวันนี้

ข้ายินดีต่อการปรากฏของพวกเจ้า

ข้าจะสวดมนต์ให้พวกเจ้า

จงอยู่เถิด อย่ารีบร้อนจากไปไหน

เราจะได้สนทนาและหยอกเย้ากัน

อยู่สักคืนหนึ่งก่อนเถอะ

เราจะได้ควานหามนตร์ดำในธรรมะ

แล้วดูว่าฝ่ายไหนจะสัมฤทธิ์กว่า

พวกเจ้ามาเยือนข้า

ด้วยเจตนาหลอกหลอนข่มขู่

ฉะนั้น หากพวกเจ้ารีบจากไปก่อนงานสำเร็จ

พวกเจ้าคงต้องละอายและอัปยศอดสู


ความกล้าหาญของท่านมิลาเรปะได้ถูกปลุกขึ้น ท่านปรี่เข้าใส่อสูรทั้ง ๕ โดยทันใด เหล่าอสูรหดตัวถอย กลอกกลิ้งดวงตาอย่างผิดหวัง ตัวสั่นด้วยความกลัว ร่างของอสูรทุกตนลอยหมุนวนขึ้น และประกอบรวมกันเข้าเป็นร่างเดียวแล้วหายวับไป

ท่านมิลาเรปะคิด "นี่คือพญามาร ชื่อวินายักก์ เป็นปีศาจร้ายที่คอยหาโอกาสก่ออุปสรรครังแกผู้คน พายุที่โหมกระหน่ำอย่างแรงเมื่อครู่ ย่อมเป็นฝีมือของปีศาจตนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นเพราะความกรุณาของท่านอาจารย์มาร์ปะโดยแท้ ข้าจึงปลอดภัยจากพญามาร"


จากเหตุการณ์นี้ ทำให้โยคีมิลาเรปะประสบความก้าวหน้าอย่างมากทางจิตวิญญาณอีกขั้นหนึ่ง

ตำนานการปราบปีศาจวินายักก์ของท่านมิลาเรปะตอนนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ๓ ชื่อ ได้แก่

๑. "หนทาง ๖ ประการยามครุ่นคำนึงถึงท่านอาจารย์"

๒. "เรื่องเล่าจากหุบเขาอัญมณีศิลาแดง"

และ ๓. "เรื่องท่านมิลาเรปะเก็บกิ่งไม้"



[1] มหามุทรา (Mahamudra) : เป็นแนวทางเจริญสมาธิเพื่อเข้าถึงสุญตา (ความว่าง) ของพุทธศาสนาฝ่ายตันตระยาน

[2] ท่านมาร์ปะ เป็นอาจารย์ของโยคีมิลาเรปะ

[3] ท่านมิลาเรปะ มีฉายาว่า หมอผีผู้วิเศษ เพราะท่านเคยศึกษาวิชาเวทมนต์จนมีอาคมแก่กล้า และเคยใช้เวทมนต์ไปในทางที่ผิด

[4] โลกธรรม ๘

[5] ฑากินี (Dakini) คือ เทพธิดาซึ่งคอยคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

[6] โพธิจิตทั้ง ๒ ฝ่าย ได้แก่ ๑.โพธิจิตฝ่ายอธิษฐาน และ ๒.โพธิจิตฝ่ายปฏิบัติ

[7] อาจารย์มาร์ปะ เป็นนักแปลผู้มีความสามารถ

[8] มารทั้ง ๔ หรือ อุปสรรค ๔ ได้แก่ ความเจ็บป่วย การหยุดชะงัก ความตาย และความอยาก

[9] ช่องปราณทั้ง ๓ ช่อง