Nov 16, 2009

ตอนที่ ๓ : ธรรมโศลกจากเทือกเขาหิมะ

......................................

ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

กิตติศัพท์การปราบปีศาจร้าย และข่าวการจาริกสู่ขุนเขาลาชิของโยคีมิลาเรปะ ได้ขจรไปทั่วหมู่บ้านยานอน ชาวบ้านทุกคนถวายอุปถัมภ์บริการแก่ท่านมิลาเรปะด้วยความเลื่อมใส ในจำนวนผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าเหล่านั้น มีหญิงสาวนางหนึ่งนามว่า วุรโม รวมอยู่ด้วย นางมีบุตรชายเล็ก ๆ คนหนึ่งชื่อ จูปุวะ ซึ่งนางตั้งใจไว้ว่าเมื่อเขาโตขึ้น นางจะยกให้เป็นศิษย์คอยรับใช้และศึกษาธรรมกับโยคีมิลาเรปะต่อไป

ชาวบ้านเชื้อเชิญให้ท่านมิลาเรปะพำนักอยู่ในหมู่บ้าน โดยมีนางชินดอร์โม หญิงเจ้าของบ้านเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ ท่านพำนักอยู่ในหมู่บ้านไม่นาน ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก จึงแจ้งชาวบ้านว่า ท่านต้องการกลับไปแสวงสันโดษ ณ ลาชิ ขุนเขาแห่งหิมะ

ชาวบ้านต่างช่วยกันพูดกับท่านว่า “ท่านโยคีที่เคารพ การที่พวกเราขอร้องให้ท่านพำนักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ตลอดช่วงฤดูหนาว มิใช่เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง แต่เพื่อตัวท่านเองด้วย ท่านโยคีจะไปปราบปีศาจร้ายเมื่อใดก็ได้ เพียงขอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงก่อนเถิด ท่านค่อยเดินทาง” ลามะอาวุโสนามว่า ดุนปะ ชาจากุนะ และนางชินดอร์โม ช่วยกันอ้อนวอนว่า “ท่ามกลางฤดูอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ท่านจะต้องเผชิญความยากลำบากอย่างมากบนยอดเขาหิมะ ขอท่านเลื่อนการเดินทางออกไปจนผ่านพ้นฤดูหิมะก่อนเถิด”

การอ้อนวอนของชาวบ้านไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้ ดังที่ท่านกล่าวแก่ชาวบ้านต่อไปว่า “อันตัวเรานั้น เป็นหน่อเนื้อแห่งการสืบสายธรรมจากท่านนาโรปะ เราไม่เกรงกลัวความยากลำบากหรือลมพายุในหุบเขาหิมะ การพำนักถาวรอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับความตาย ท่านอาจารย์มาร์ปะพร่ำสอนเสมอว่าให้หลีกเลี่ยงการหมกมุ่นอยู่กับอบายบันเทิงใจ ให้หมั่นรักษาสันโดษ อุทิศตัวแก่การเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่อง”

เมื่อชาวบ้านได้รับรู้ถึงเจตนาอันแรงกล้าของท่าน จึงช่วยกันเตรียมการเดินทาง ท่านให้สัญญากับชาวบ้านว่า ท่านจะคอยต้อนรับผู้ที่จะเดินทางไปศึกษาธรรมะกับท่านตลอดช่วงฤดูหนาว ดุนปะ ชาจากุนะ นางชินดอร์โม และชาวบ้านอีก ๔ คน ช่วยกันแบกหามเสบียงอันประกอบด้วย แป้ง ข้าว เนื้อ ๑ ชิ้น เนย ๑ ก้อน และน้ำดื่ม พวกเขาเดินทางข้ามเนินเขาสู่ที่ราบสูง จนถึงถ้ำปราบอสูร อันเป็นสถานที่ท่านมิลาเรปะตั้งใจจะจำศีลอยู่เพียงลำพัง จากนั้นศิษย์ทั้ง ๖ คนจึงลากลับหมู่บ้าน

ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน หิมะตกลงมาอย่างหนัก พายุหิมะพัดแรงเสียจนพวกเขามองไม่เห็นทางเดิน และมองไม่เห็นกันและกัน ต่างร้องตระโกนหากันแต่ก็พลัดหลงทางกัน ทุกคนต้องค้างแรมในหุบเขาคืนหนึ่ง ก่อนจะกลับไปถึงหมู่บ้านอย่างทุลักทุเลในวันรุ่งขึ้น

พายุหิมะตกอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน ตลอด ๑๘ วัน การติดต่อระหว่างหมู่บ้านดริน กับ หมู่บ้าน ยานอน ถูกหิมะตัดขาดจากกันเป็นเวลาถึง ๖ เดือน ชาวบ้านพากันสันนิษฐานว่า โยคีมิลาเรปะคงต้องเสียชีวิตในพายุหิมะอันหนาวเหน็บแน่แล้ว จึงช่วยกันประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ดวงวิญญาณของโยคีที่พวกเขานับถือ

ล่วงเข้าเดือนสะกะ ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน บรรดาศิษย์ที่เลื่อมใสในโยคีมิลาเรปะ ช่วยกันแบกขวานและจอบเสียมเพื่อออกไปค้นหาศพของโยคี ขณะที่พวกเขากำลังนั่งพักเหนื่อยหลังจากเดินทางออกจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก พวกเขามองเห็นเสือดาวหิมะตัวหนึ่งกำลังเหยียดตัวและอ้าปากหาวอยู่อีกฟากของหุบเขา เสือดาวหิมะตัวนั้นกำลังไต่ขึ้นไปนั่งบนหน้าผาหิน พวกเขาจ้องมองดูอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสือดาวหิมะหายตัวไป ทุกคนมั่นใจว่าคงไม่มีวันพบศพของโยคี เพราะคงถูกเสือดาวกินเป็นอาหารไปแล้วแน่ กระนั้น พวกเขาก็ยังมีความหวังว่า "แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ ที่พวกเราอาจจะพบเศษผ้าพันกาย หรือเส้นผมของท่านโยคีมิลาเรปะ" ความคิดเช่นนี้ทำให้พวกเขาร่ำไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้าอาลัย

ทันใดนั้น พวกเขาสังเกตเห็นรอยเท้ามนุษย์หลายรอยอยู่ข้างรอยเท้าเสือดาว (ต่อมาภายหลัง ช่องทางเดินแคบ ๆ บริเวณที่พวกเขาเห็นเสือดาวหิมะปรากฏ ได้ถูกเรียกขานกันว่า "เส้นทางเสือดาว" ) รอยเท้าคู่ขนานของมนุษย์และเสือดาว ทำให้บรรดาศิษย์ต่างฉงนสงสัย ถึงกับรำพึงว่า "นี่เป็นเวทย์มนต์ของเทพหรือปีศาจกันแน่" แต่พวกเขายังคงค้นหาต่อไปจนเดินมาถึงทางเข้าถ้ำปราบอสูร พวกเขาได้ยินเสียงร้องเพลงดังแว่วออกมาจากในถ้ำ จึงถามกันและกันว่า "หรือว่ามีนายพรานบังเอิญผ่านมา จึงแบ่งอาหารให้ท่านโยคี หรือว่าท่านยังชีพจากเศษเนื้อที่เสือสิงห์ล่าและกินเหลือ ท่านจึงมีชีวิตรอดมาได้"

ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังเดินเข้าไปในถ้ำ ท่านมิลาเรปะทักทายด้วยเสียงดุ ๆ ว่า "พวกเจ้านี่ช่างเถลไถลนัก ทั้งที่เดินทางมาถึงฟากตรงข้ามภูเขานี้ตั้งนานแล้ว แต่ไฉนจึงมาถึงที่นี่ช้าหนัก อาหารที่จัดเตรียมไว้รอพวกเจ้า เย็นชืดไปหมดแล้ว รีบเข้ามาไว ๆ เถิด" บรรดาศิษย์ได้เห็นและได้ยินเสียงโยคีของพวกเขา ต่างปลื้มปีติอย่างเหลือล้น ทั้งร่ำไห้และกระโดดเต้นรำกันด้วยความยินดี พวกเขารีบเข้าไปกราบไหว้ท่าน แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะเอ่ยปากถามอะไร ท่านก็กล่าวขึ้นว่า "ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามสนทนาอะไรกัน เวลานี้เป็นเวลาสำหรับการกินอาหารแล้ว" แต่พวกศิษย์ก็ยังคงเข้าไปกราบไหว้ ทักทายและซักถาม พวกเขามองไปรอบ ๆ ถ้ำ เห็นอาหารต่าง ๆ ที่พวกเขาเตรียมมาแต่ครั้งก่อน ยังไม่ได้พร่องลงเลย

ดุนปะ ชาจากุนะ ถึงกับอุทานขึ้นว่า "ที่แท้ อาหารเหล่านี้ถูกเตรียมไว้เพื่อเป็นมื้อค่ำของพวกเราในวันนี้ แสดงว่าท่านโยคีต้องล่วงรู้ว่าพวกเรากำลังเดินทางมา"

ท่านตอบว่า "ขณะที่เรานั่งอยู่บนหน้าผาหิน เราเห็นพวกเจ้าหยุดพักเหนื่อยอยู่อีกฟากของหุบเขา"

"พวกเราเห็นเสือดาวหิมะตัวหนึ่งที่บริเวณนั้น แต่พวกเรามองไม่เห็นท่าน ท่านอยู่ที่ใดในบริเวณนั้นหรือ" ดุนปะ ชาจากุนะถาม

"เราคือเสือดาวหิมะตัวนั้น" ท่านตอบและกล่าวต่อ "สำหรับโยคีผู้ฝึกปฏิบัติจนจิตและปราณ รวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ย่อมควบคุมธาตุทั้ง ๔ ได้โดยง่าย และสามารถแปลงกายสลับร่างได้ดังประสงค์ ข้าแสดงพลังอำนาจลี้ลับนี้ให้พวกเจ้าได้เห็น เพราะว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์และก้าวหน้า แต่ขอให้พวกเจ้าอย่าได้พูดหรือแพร่งพรายอำนาจเหนือธรรมดานี้แก่ผู้อื่นออกไป"

ชินดอร์โม ถามต่อว่า "ท่านโยคี เหตุใดใบหน้าและร่างกายของท่าน จึงแลดูมีสุขภาพดีกว่าเมื่อปีกลายเสียอีก ทั้งที่เส้นทางทั่วหุบเขาถูกพายุหิมะตัดขาดค่อนปี คงไม่มีผู้ใดนำอาหารมาให้ท่านเป็นแน่ หรือว่าท่านได้รับอาหารจากเทวดาและฑากิณี หรือว่าท่านยังชีพจากจากเศษเนื้อที่เสือสิงห์ล่าทิ้งไว้ อะไรคือความลับนี้ ขอท่านได้โปรดบอกพวกเราด้วยเถิด"


ท่านมิลาเรปะตอบ "ตลอดฤดูแห่งหิมะอันยะเยือก เราใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข้าฌาณ จึงไม่มีเวลาสำหรับการกิน เมื่อถึงวันเทศกาลตันตระ เหล่าฑากิณีพากันมาชุมนุมและให้อาหารแก่เรา ส่วนวันอื่น ๆ เช่นเมื่อวานหรือหลายวันก่อน เรากินแป้งเล็กน้อยเพียงปลายช้อน และเมื่อปลายเดือนม้าที่ผ่านมา เรามีนิมิตเห็นพวกเจ้าพากันมาห้อมล้อมรอบกายเรา ทั้งยังถวายอาหารแก่เราจำนวนมาก เป็นผลทำให้เราไม่รู้สึกหิวไปอีกหลายวัน เราใคร่ขอถามว่า ปกติพวกเจ้าประกอบพิธีอะไรกันหรือ ในวันสุดท้ายของเดือนม้าเช่นนั้น"

เหล่าศิษย์ตอบว่า “วันนั้นเป็นวันที่พวกเราและชาวบ้านจัดให้มีพิธีศักดิ์สิทธิ์บวงสรวงแก่ดวงวิญญาณของท่าน เพราะเชื่อว่าท่านได้ถึงแก่มรณภาพเสียแล้ว”

ท่านมิลาเรปะกล่าวว่า "เมื่อปุถุชนได้ทำบุญบูชาใด ๆ บุญนั้นย่อมส่งผลดีต่อบาร์โด ของพวกเขา แต่กระนั้น การฝึกสติให้ตระหนักถึงบาร์โดแห่งปัจจุบันขณะ ย่อมให้ผลที่ดีกว่าและมีประโยชน์กว่าการประกอบพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว"

จากนั้นบรรดาศิษย์พยายามอ้อนวอนให้ท่านเดินทางกลับหมู่บ้านพร้อมกับพวกตน แต่ท่านปฏิเสธว่า "เราพอใจที่จะพำนักอยู่ที่นี่ การเจริญสมาธิของเราเป็นไปอย่างก้าวหน้า พวกเจ้าโปรดกลับไปกันเองเถิด"

"หากท่านโยคีไม่กลับไปพร้อมกับพวกเรา ชาวบ้านในหมู่บ้านจะต้องพากันตำหนิว่าพวกเราทิ้งท่านไว้ในสุสานแห่งนี้ พวกเขาจะต้องก่นด่าและสาปแช่งพวกเราอย่างแน่นอน"

"หากท่านไม่ยอมกลับไปด้วย พวกเราก็จะหามท่านไป หรือไม่ก็จะนั่งอยู่ในถ้ำนี้จนกว่าความตายจะมาถึง" วุรโมคร่ำครวญ

ท่านไม่สามารถต้านทานการอ้อนวอนของบรรดาศิษย์ได้ จึงยินยอมเดินทางไปพร้อมพวกเขา บรรดาศิษย์พูดขึ้นว่า "บางทีเหล่าฑากิณีอาจไม่ต้องการท่านแล้ว แต่พวกเราศิษย์ผู้เดินตามคำสอนของท่าน ยังต้องการท่านอยู่ เอาละ พวกเรามาแสดงให้เหล่าฑากิณีได้เห็นกันเถิดว่า พวกเราจะเดินลุยหิมะโดยปราศจากรองเท้าหิมะได้อย่างไร"

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดเดินทางออกจากถ้ำเพื่อกลับหมู่บ้านยานอน โดยมีชินดอร์โมเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เพื่อกระจายข่าวให้ชาวบ้านทราบว่า โยคีมิลาเรปะที่พวกเขาเลื่อมใสนั้นยังมีชีวิตอยู่ และกำลังจะเดินทางกลับสู่หมู่บ้าน

เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน พวกเขาผ่านลานหินกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งชาวนาหลายคนกำลังนวดข้าวสาลีกันอยู่ ทันทีที่รู้ว่าโยคีมิลาเรปะมาถึง ชาวนาทั้งชายหญิง เด็กและคนชรา ต่างวิ่งมารวมกลุ่มกันห้อมล้อมจ้องมองท่าน บ้างก็เข้าไปกราบไหว้ บ้างทักทายต้อนรับ บ้างร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจ และบ้างซักถามสารทุกข์สุขของท่าน โยคีมิลาเรปะวางคางของท่านบนหัวไม้เท้า โดยที่ยังมิได้ถอดรองเท้าที่สวมอยู่ และขับร้องบทเพลงขึ้นมาว่า

พวกเจ้าทั้งหลาย ชาวบ้านชายหญิง
และตัวข้า ผู้เฒ่ามิลาเรปะ

ใต้ผืนฟ้าแผ่คลุมเป็นปะรำมงคล ณ สถานที่นี้
พวกเราได้ประสบพบกันอีกครั้ง
ก่อนความตายมาพราก
ข้าจะขานเพลงธรรมเป็นคำตอบ
เพื่อบอกเล่าสารทุกข์สุขของตัวข้า
เชิญทุกคนขยับเข้ามาใกล้ ๆ
และจงตั้งใจฟังคีตาบทนี้

วันสุดท้ายของปีขาล
ก่อนล่วงเข้าปีเถาะ
วันที่หกแห่งวาจัล
จิตข้าสัมผัสสละโลกียโลก
ปรารถนามุ่งสู่ลาชิ ขุนเขาหิมะอันไกลโพ้น
มิลาเรปะ โยคีผู้แสวงสันโดษจึงออกเดินทาง

ประหนึ่งท้องฟ้าและผืนดินร่วมรู้เห็น
สายลมบาดผิวกรรโชกส่ง
แม่น้ำไหลเชี่ยวกระเพื่อมคลื่น
เมฆดำพัดกระจายทั่วสารทิศ
สุริยันจันทราไม่ฉายแสง
ดาว ๒๘ ดวง บนฟากฟ้าเกาะกลุ่มเกี่ยว
ทางช้างเผือกเคลื่อนหมุนวน
ดาวเคราะห์ทั้ง ๘ ถูกร้อยรัดด้วยโซ่เส้นเดียว
เมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว
ท่ามกลางวันคืนที่มืดมัว
หิมะตกลงมา ๙ วัน ๙ คืน
ตกหนักขึ้นและหนักขึ้น
หิมะตกหนักต่อเนื่องไปอีก ๑๘ วัน ๑๘ คืน

หิมะขาวทับถมประหนึ่งกองขนแกะมหึมา
ปลิวสะบัดราวนกน้อยโบยบินเต็มท้องฟ้า
พายุหิมะหมุนวนราวฝูงผึ้งบินว่อน
เกร็ดหิมะกระจายดังกับกระสวยจิ๋ว
ตกไปทั่วราวหว่านเมล็ดถั่ว
นวลขาวราวกับปุยฝ้าย

พายุหิมะตกหนักเกินคณานับ
ห่มคลุมภูเขาทุกลูก
ไม่เว้นยอดเขาสูงเสียดฟ้า
ปกคลุมทั้งพุ่มไม้ใบต่ำ
ตลอดยอดไม้ไพรสูง
ภูเขาที่เคยดำทมึน
พลันกลายเป็นสีขาว
ทะเลสาบทุกลูกแข็งยะเยือก
ธารน้ำใสแข็งเป็นหิน
สีขาวฉาบไปทั่วเนินและทั่วหุบ
หิมะตกหนักเสียจนปีศาจมิอาจออกมาอาละวาด
สัตว์ป่าล้มตายลงด้วยความหนาว
สัตว์เลี้ยงในไร่ปศุสัตว์ถูกทอดทิ้งให้อดตาย
ฝูงนกไร้ที่อยู่
พวกหนูต้องซ่อนอยู่ใต้ดิน

ท่ามกลางหายนะภัยยะเยือก
ตัวข้ายังนิ่งอยู่ในสันโดษ
พำนักสูงบนขุนเขาหิมะ
วันสิ้นปีพายุคุกคามข้าด้วยความหนาว
ตัวข้ามีเพียงผ้าฝ้ายบางพันกาย
ต่อสู้ประหนึ่งน้ำแข็งกระหน่ำลงบนร่าง
กระทั่งพายุหิมะอ่อนกำลังลง
ข้าจึงมีชัยเหนือสายลม
ผ้าพันกาย ของข้าอุ่นดั่งเหล็กอังไฟ

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างชีวิตกับความตาย
เหมือนยักษ์สองตนสู้กันอุตลุต
เหมือนกระบี่สองเล่มฟาดปะทะกัน
ข้าคือโยคีที่ฝึกตนอย่างหนัก
จึงมีชัยเหนือภัยนี้
เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชนชาวพุทธ
และเพื่อเป็นตัวอย่างแก่โยคีทั้งหลาย

พลังความร้อน ภายในกายข้า
อีกทั้งพลังจากช่องปราณทั้งสองถูกเผยออก
เนื่องเพราะข้าเจริญสมาธิ
ใคร่ครวญจนถ่องแท้ถึงเหตุแห่งโรคาทั้ง ๔
จากนั้นภาวนาสู่ภายใน
จดจ่อพิจารณาปราณเย็นและปราณอุ่น
กระทั่งสายลมหิมะภายนอกอ่อนกำลังลง
การศึกนี้แม้กองทัพเทพก็อาจปราชัย
แต่โยคีมิลาเรปะพิชิตได้

ข้าคือบุตรแห่งธรรมผู้มีหนังเสือหุ้มกาย
โดยข้ามิเคยสวมแม้ขนหมาจิ้งจอก
ข้าคือบุตรของพญายักษ์
แต่ข้ามิเคยโกรธเกรี้ยวก้าวร้าว
ข้าคือบุตรราชสีห์ ราชาแห่งสัตว์ป่า
ผู้ใช้ชีวิตสันโดษบนขุนเขาหิมะ
ภารกิจแห่งชีวิต คือเรื่องเล่นของข้า

หากพวกเจ้าเชื่อในเรื่องราวที่ชายชราคนนี้เล่า
จงตั้งใจฟังคำพยากรณ์ของเขา

คำสอนแห่งกาจูปะ จะแผ่ขจรไกล
ผู้บรรลุธรรมกลุ่มหนึ่งจะมาจุติบนพื้นพิภพ
นามมิลาเรปะจะระบือไปทั่วทุกทิศ
พวกเจ้า ศิษย์ผู้เปี่ยมศรัทธาของข้า
จะสถิตย์อยู่ในความทรงจำ
ผู้คนจะสดุดีเรื่องราวของพวกเราในกาลอนาคต

ต่อไปคือคำตอบที่เจ้าถาม
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ
มีความสุขกายสบายใจ
พวกเจ้าเล่า ศิษย์ทั้งหลาย
พวกเจ้าสุขสบายกันดีหรือเปล่า

บทเพลงแห่งความสุขของท่านมิลาเรปะ ดลใจให้ชาวบ้านลุกขึ้นเต้นรำและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ท่านมิลาเรปะซึ่งอยู่ในปีติ ก็ร่วมร้องเพลงและเต้นรำกับชาวบ้านด้วย ลานหินกว้างซึ่งบัดนี้กลายเป็นที่เต้นรำปรากฏรอยพิมพ์เท้าและรอยพิมพ์มือทั้งสองข้างของโยคี ราวกับมีใครไปสลักรอยพิมพ์นั้นไว้ ใจกลางของลานหินยุบต่ำลงเป็นแอ่งเล็ก ๆ ขรุขระ ตั้งแต่นั้นมา ลานหินนี้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ลานหินรอยเท้าสีขาว” และเรียกกันต่อมาอีกว่า “ลานหินรองเท้าหิมะ”

ต่อจากนั้น ชาวบ้านได้เชิญท่านมิลาเรปะเดินทางกลับหมู่บ้าน นางเลเซบุม พูดขึ้นว่า “ท่านโยคีที่นับถือ ไม่มีสิ่งใดจะนำความยินดีแก่พวกเราเท่ากับได้เห็นว่าท่านยังมีชีวิต และเดินทางกลับหมู่บ้านอย่างปลอดภัย อีกทั้งใบหน้าของท่านก็เปล่งรัศมีสดใส สุขภาพของท่านก็ดูแข็งแรงกว่าแต่ก่อน หรือขณะที่ท่านจำศีลอยู่ในถ้ำนั้น เหล่าเทพธิดาได้นำอาหารทิพย์มาถวายท่าน เช่นนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ” เพื่อเป็นการตอบคำถามของนางเลเซบุม ท่านจึงขับลำนำบทนี้

ข้าขอกราบแทบเท้าอาจารย์มาร์ปะ

พรประเสริฐนั้น
ข้าได้รับจากเหล่าฑากิณี
อาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
ข้าได้จากน้ำทิพย์แห่งสมยะ
อาหารบำรุงอายตนะ
ข้าได้จากการอุทิศศรัทธามั่น
ส่วนบุญกุศลนั้น
ข้าสะสมมาจากสานุศิษย์

จิตแต่ละขณะ ล้วนว่างเปล่า
เมื่อใดที่ปราศจากผู้เฝ้าสังเกต และผู้มอง
การเห็นที่แท้จึงถูกตระหนัก

สำหรับการฝึกในกระแสแห่งแสงกระจ่างใส
ไม่มีขั้นไม่มีตอนให้ค้นพบ
ยืนหยัดในวิริยะแห่งการปฏิบัติ
ตราบกระทั่งไร้ผู้ฝึกและไร้การฝึก

ในภูมิแห่งแสงกระจ่างไสว
ที่ซึ่งนามและรูปรวมกันเป็นหนึ่ง
ข้ามองไม่เห็นเหตุ ไม่เห็นปัจจัย
ทั้งหมดคือความว่าง
เมื่อผู้แสดงและการแสดงยุติ
การณ์ทั้งหมดจักกลายเป็นความถูกต้อง

ข้อจำกัดทางปัญญาได้มลายไปในพระธรรมธาตุ
โลกธรรม ๘ ไม่สามารถพัดทั้งความหวังและความกลัวมาสู่
เมื่อไม่มีคำสอน และไม่มีผู้เจริญตามคำสอน
วินัยจึงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

ด้วยตระหนักรู้ว่าจิตคือพระธรรมกาย
เป็นกายแท้แห่งพุทธะ
เมื่อตั้งปณิธานแน่วแน่
ที่จะยังประโยชน์แก่สรรพสัตว์
เมื่อข้อควรปฏิบัติและผู้ปฏิบัติไม่ปรากฏแล้ว
ธรรมะจึงบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

นี่คือบทเพลงแห่งปีติ
ผู้เฒ่ามิลาเรปะขับขานเพื่อตอบศิษย์
พายุหิมะตกหนักและปิดล้อม
ขีดเขตสถานภาวนาของข้า
ข้ารับอาหารยังชีพจากเหล่าฑากิณี
ได้น้ำบริสุทธิ์จากหิมะภูเขา
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
ใยข้าต้องเพาะปลูก ในเมื่อข้ามิได้กินมาก
ห้องเสบียงของข้าเต็มเปี่ยมโดยไม่ข้าไม่เคยสะสม
เพียงสังเกตเข้าไปในจิต ข้าก็เห็นทุกสิ่ง
เพียงนั่งลงบนที่ต่ำ ก็จักได้นั่งบนบัลลังก์
เพราะอาจารย์มีกรุณา
ข้าจึงบรรลุอย่างสมบูรณ์
บุญคุณนี้ต้องตอบแทนด้วยการปฏิบัติธรรม
สานุศิษย์และผู้ติดตามที่มาชุมนุมกันวันนี้
ผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาบริการ
ขอให้พวกเจ้าประสบสุขและเบิกบานกันถ้วนทั่ว

เมื่อท่านมิลาเรปะขับขานคีตาจบ ดุนปะ ชาจากุนะ ก้มลงกราบท่าน และพูดว่า “นับเป็นความอัศจรรย์ใจ และน่าดีใจจริง ๆ ที่ได้เรียนรู้ว่า พายุหิมะซึ่งตกหนักขนาดนั้น ไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ อีกทั้งพวกเราสานุศิษย์ ยังสามารถกลับสู่หมู่บ้านอย่างปลอดภัยพร้อมกับท่านเสียอีกด้วย เป็นความปรีดาอย่างเหลือล้น ที่ศิษย์ได้เห็นอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง และพวกเราคงจะปีติอย่างยิ่ง หากท่านอาจารย์จะกรุณาเล่าถึงประสบการณ์การเจริญสมาธิตลอดฤดูหนาว เพื่อมอบเป็นของขวัญในการกลับมาของท่านแด่พวกเราด้วย”

ท่านมิลาเรปะตอบคำขอร้องของชาจากุนะ ด้วยบทเพลงเกี่ยวกับ “สารัตถะทั้ง ๖ จากประสบการณ์ภาวนา” เพื่อเป็นธรรมทานแก่ชาวบ้าน

น้อมคารวะท่านอาจารย์
ผู้พร้อมด้วยบารมีทั้ง ๓ ขั้น

ค่ำวันนี้
เพราะคำร้องขอจากศิษย์ชาจากุนะ และดอร์โม
ข้าจะเล่าประสบการณ์ยามเข้าฌาน
ครั้งพำนักอยู่ในสถานสันโดษอันไกลโพ้น

ด้วยแรงอธิษฐานอันบริสุทธิ์
พวกเราจึงได้มาชุมนุมกันวันนี้
ด้วยบารมีแห่งพระธรรมคำสอน
ข้าจึงได้มาพบพวกเจ้าพร้อมหน้า
ลูก ๆ ทั้งหลาย สิ่งที่พวกเจ้าถาม
ข้าผู้เป็นบิดาจะตอบ มอบเป็นธรรมทาน

ข้าละทิ้งชีวิตทางโลก
ด้วยเกิดธรรมสังเวช
จึงเดินทางมุ่งสู่ลาชิ ขุนเขาแห่งหิมะ
เพื่อจำศีลถือสันโดษในถ้ำปราบอสูร
เป็นเวลานาน ๖ เดือนเต็ม
ข้าเจริญภาวนา และก้าวหน้าในสมาธิ
บัดนี้ ข้าจะเล่าประสบการณ์ให้พวกเจ้าฟัง
ผ่านคีตาแห่งสารัตถะทั้ง ๖

หนึ่งนั้นคือ อุปมาปรากฏการณ์จากภายนอก ๖ อย่าง
สองคือ ความบกพร่องจากภายใน ๖ ประการ
ซึ่งจักต้องพิจารณาโดยแยบคาย
สามคือ พันธนาการ ทั้ง ๖
ที่จองจำเราไว้ในวัฏสงสาร
สี่คือ หนทาง ๖ สาย
ซึ่งจะนำเราไปสู่ความหลุดพ้น
ห้าคือ แก่นแท้ของความรู้ทั้ง ๖
ซึ่งจะเสริมศรัทธาปสาทะ
หกนั้นคือ ประสบการณ์ปีติ ๖ ประการ
อันเกิดแต่การเจริญสมาธิ

หากใครยังจำบทเพลงนี้ไม่ค่อยได้
ถ้าบทเพลงนี้ยังไม่ประทับลงไปในจิต
จงตั้งใจฟังใหม่
ข้าจะขยายอรรถาธิบาย

ที่ใดมีสิ่งกีดขวาง
ที่นั้นมิอาจเรียกว่า “ที่ว่าง”
หากสามารถบอกจำนวนนับได้
สิ่งนั้นมิอาจเรียกว่า “ดวงดาว”
เรามิควรกล่าวว่านี่คือ “ขุนเขา”
หากสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนที่หรือสั่นไหว
“มหาสมุทร” มิอาจถูกขานนาม
หากยังงอกออกและหดเข้า
มิควรเรียกผู้ใดว่า “นักว่ายน้ำ”
หากเขายังต้องการสะพานข้าม
และย่อมมิใช่ “สายรุ้ง”
หากสิ่งนั้นจับต้องและคว้าได้
ทั้งหมดที่เอ่ยมานี้แล
คืออุปมาปรากฏการณ์จากภายนอก ๖ อย่าง

หากความชัดเจนยังคลุมเครือ
หากความเข้าใจยังมีข้อจำกัด
หากยังคงซึมเซาง่วงหาว
หากยังวอกแวกฟุ้งซ่าน
นั่นย่อมไม่ใช่การเจริญสมาธิ

การยอมรับหรือปฏิเสธ
ไม่ใช่จุดหมายของการภาวนา
หากความคิดยังไหลเลื่อนเรื่อยไป
ย่อมไม่ใช่โยคะปฏิบัติ

หากยังมีทิศตะวันออกและตะวันตก
ย่อมมิใช่ปัญญาที่แท้
หากยังมีเกิด มีดับ
ย่อมไม่ใช่ธรรมะ
เหล่านี้คือ ความบกพร่องจากภายใน ๖ ประการ

สัตว์นรกถูกพันธนาการด้วยความเกลียดชัง
ผีเปรตถูกจองจำอยู่ในทุกข์เข็ญ
เดรัจฉานคลำไปในความมืดบอด
ส่วนมนุษย์หมกมุ่นในกามตัณหา
อสูรนั้นเล่าผูกกับริษยา
เทพบนสวรรค์ยึดมานะหยิ่งลำพอง
ภูมิเหล่านี้คือ เครื่องพันธนาการทั้ง ๖
ซึ่งจองจำและขวางทางสู่อิสรภาพ

มีศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ปสาทะไม่สงสัย
มีคุรุทรงปัญญาและเข้มงวด
มีศิษย์ใฝ่สิกขา
จำศีลถือสันโดษ
ตั้งใจมั่น พากเพียรอุตสาหะ
ปฏิบัติ เจริญภาวนา
เหล่านี้คือ ทาง ๖ สายนำสู่อิสรภาพ

ปัญญาเดิมแท้ คือมณฑลอันเป็นปฐม
มณฑลแห่งความตระหนักรู้ ย่อมไม่มีนอก ไม่มีใน
มณฑลแห่งความรู้แจ้ง ย่อมไม่มืด และไม่สว่าง
มณฑลแห่งพระธรรม ย่อมแผ่ซ่านทั่วทุกหน
มณฑลแห่งปรมัตถสัจจ์ ย่อมมิอาจแปรเปลี่ยน
มณฑลแห่งประสบการณ์ ย่อมไม่ชะงักด้วยอุปสรรค
เหล่านี้คือ แก่นแท้ของปัญญา ๖ ประการ ซึ่งจะไม่โยกคลอน

ปีติสุขจะบังเกิด
เมื่อพลังความร้อนภายในถูกกระตุ้น
เมื่อปราณจากนาทิ เคลื่อนอยู่ในช่องปราณกลาง
เมื่อโพธิจิตเคลื่อนขึ้นสู่เบื้องบน
เมื่อเบื้องต่ำถูกชำระให้บริสุทธิ์
และเมื่อสีขาวและสีแดง มาพบกันในปราณกลาง
ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์ปิติทั้ง ๖ จากการปฏิบัติ

เพื่อโปรดพวกเจ้า ลูก ๆ สานุศิษย์
ข้าจึงขานคีตาแห่งสารัตถะ ๖
จากประสบการณ์ภาวนาตลอดฤดูหนาว
การพบกันวันนี้ยังความยินดีมาสู่ทุกคน
ขอเชิญดื่มน้ำทิพย์จากบทเพลงของข้า
ทุกคนคงเบิกบานและเปี่ยมสุข
คำขอของพวกเจ้า คงได้คำตอบแล้ว

แม้เป็นเพียงคีตาโง่ ๆ
ที่ขับขานโดยโยคีเฒ่าคนนี้
แต่อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลนไป
นี่เป็นของขวัญจากพระธรรม
ขอจงก้าวไปข้างหน้าด้วยจิตเบิกบาน
บนเส้นทางแห่งคำสอนอันประเสริฐ

เมื่อฟังจบ นางชินดอร์โมอุทานขึ้นว่า “ท่านโยคีผู้น่าเลื่อมใส ท่านเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โอกาสที่ได้ถวายปัจจัยบริการและเรียนรู้จากท่าน เป็นโอกาสดีซึ่งจะหายากยิ่ง ใครก็ตามที่ไม่ศรัทธาในตัวท่าน เขาเหล่านั้นนับว่าเป็นคนโง่เสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน”

ท่านมิลาเรปะตอบ “มันไม่สำคัญนักดอก ที่ใครผู้ใดจะศรัทธาในตัวข้าหรือไม่ และไม่ว่าใครจะเลือกเดินบนเส้นทางไหนก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อพวกเจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังถือกำเนิดอยู่ในกาลเทศะอันมีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง คงจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง ถ้าหากพวกเจ้าละทิ้งโอกาสในการศึกษาพระธรรม” เมื่อกล่าวจบ ท่านได้ขานคีตาโศลกนี้

ข้าขอกราบแทบเท้าท่านนักแปล
อาจารย์มาร์ปะ

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังคงทำชั่วโดยไม่ยั้งคิด
ทั้งที่มีพระธรรมบริสุทธิ์แผ่กระจายอยู่รายรอบ

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังใช้ชีวิตโดยปราศจากความหมาย
ทั้งที่การเกิดมาเป็นมนุษย์ คือของขวัญวิเศษ

เป็นเรื่องน่าขัน
หากจองจำตัวเองอยู่แต่ในเมือง

เป็นเรื่องน่าสังเวช
หากมัวทะเลาะวิวาทกับคู่และญาติมิตร
เพราะพวกเขาล้วนเป็นแขกผู้มาเยือน

เป็นเรื่องเหลวไหล
หากหลงติดใจคำหวานระรื่นหู
เพราะถ้อยคำล้วนเป็นเพียงเสียงก้องอันว่างเปล่าในความฝัน

เป็นความขลาดเขลา
หากมัวทำศึกต่อสู้กับศัตรูโดยไม่เสียดายชีวิต
เพราะพวกเขาเปราะบางยิ่งกว่าดอกไม้

เป็นความโง่เขลาอย่างยิ่ง
หากกำลังจะตาย แต่ยังทุกข์ถวิลห่วงครอบครัว
ซึ่งพันธนาการเขาไว้ในคฤหาสน์มายา

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังตระหนี่หวงทรัพย์สมบัติ
ซึ่งล้วนคือหนี้หยิบยืมมาจากผู้อื่น

เป็นเรื่องน่าหัวเราะ
หากมัวพะวงกับอาภรณ์ประดับกาย
เพราะร่างกายเป็นเพียงท่อลำเลียงสิ่งโสโครก

เป็นเรื่องเขลาอย่างยิ่ง
หากต้องใช้กำลังอย่างหนัก
เพียงเพื่อแสวงทรัพย์และหวังมั่งคั่ง
โดยละเลยน้ำทิพย์แห่งพระธรรมจากภายใน

ในกลุ่มคนโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้น
ผู้ฉลาดและมีสติเท่านั้น จึงปฏิบัติธรรม
เฉกเช่นข้า

ชาวบ้านที่มาชุมนุมกัน ต่างกล่าวกับท่านมิลาเรปะว่า “พวกเรารู้สึกปลื้มปีติอย่างสุดซึ้ง ที่ได้สดับบทเพลงแห่งปัญญา แต่พวกเราคงไม่มีความพากเพียรและสติปัญญาเทียบเท่าท่าน คงกระทำได้เพียงแต่พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะนำไปสู่ความโง่เขลา ตามที่ท่านได้เทศนาแล้ว แต่ความปรารถนาเพียงสิ่งเดียวของพวกเรา คือการได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านต่อไป เพื่อยามที่ยังมีชีวิตอยู่จักได้ปรนนิบัติรับใช้ และศึกษาพระธรรมจากท่าน และเมื่อตายไป ความกรุณาของท่านจะช่วยนำวิญญาณของพวกเราให้ปลอดภัย”

ท่านมิลาเรปะตอบ “ตามโอวาทแห่งอาจารย์ของข้า ข้ายังต้องจำศีลถือสันโดษอยู่ที่ลาชิ ภูเขาหิมะต่อไป ข้าจะพำนักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราว ไม่สามารถอาศัยอยู่ตลอดไปเช่นฆราวาสอย่างพวกเจ้า หากข้าอยู่กับพวกเจ้านานเกินไป ไมตรีจิตและความเลื่อมใสศรัทธาจะเสื่อมลง” จากนั้น ท่านได้ขับคีตาโศลกนี้

ขอน้อมบูชาอาจารย์มาร์ปะ ผู้เป็นนักแปล

สานุศิษย์ของข้าทั้งชายหญิง
ผู้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้
ผู้เปี่ยมศรัทธา
และเลื่อมใสข้าอย่างจริงใจ

หากพำนักอยู่กับสหายนานเกินไป
ย่อมถูกหน่ายได้ในไม่ช้า
ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าใด
ยิ่งพาให้เบื่อและชังน้ำหน้า
ปุถุชนมักคาดหวังและเรียกร้องต่อกันมากเกินไป

ธรรมชาติแห่งความขัดแย้งของมนุษย์
ทำให้ละเลยคำสอน
การคบมิตรเลว
อาจพาไปสู่การทำความผิด
คำพูดที่ตรงเกินไป
มักเป็นภัยเมื่อพูดในฝูงชน
การถกเถียงเพื่อหาผิดหรือหาถูก
ล้วนก่อศัตรูเพิ่ม

การยึดในทิฏฐิมานะ
แบ่งนิกาย แบ่งแยกคำสอน
ย่อมนำความเสื่อมและบาปมาสู่ตน

การสนองคำร้องขอของผู้มีจิตศรัทธา
อาจเป็นเหตุก่อให้เกิดความคิดที่ไม่ดี

การพึงใจในเครื่องเซ่นของคนตายนั้นเป็นบาป
เครื่องบริขารอย่างโลก ๆ นั้นไม่จำเป็น

มิตรภาพมักก่อความบาดหมาง
ความบาดหมางก่อความโกรธเกลียด

ยิ่งเป็นเจ้าของถือครองมากเท่าใด
ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เมื่อความตายมาถึง
ความทุกข์และความโศกเศร้าเหล่านี้
เป็นเรื่องไม่น่าทนอย่างยิ่ง
สำหรับโยคีผู้สันโดษ

ตัวข้า มิลาเรปะ
กำลังจะไปจำศีลอยู่วิเวก
สานุศิษย์ผู้เปี่ยมศรัทธาทั้งชายหญิง
เป็นเรื่องดีที่พวกเจ้าเพียรสั่งสมบุญ
เป็นเรื่องประเสริฐที่พวกเจ้าถวายเครื่องบูชา
และปรนนิบัติบริการอาจารย์เจ้า
ข้าขอยืนยันความตั้งใจ
ว่าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้าบ่อย ๆ

ชาวบ้านทั้งหมดพูดต่อท่านมิลาเรปะว่า “พวกเราไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะฟังคำสอนจากท่านเลย แต่บางทีท่านอาจจะเบื่อหน่ายพวกเราอยู่บ้าง พวกเราทราบดีว่า ไม่ว่าเราจะอ้อนวอนท่านอย่างไร ก็คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่หวังว่า ท่านจะเดินทางจากลาชิมาเยี่ยมพวกเราในเร็ววัน “

ชาวบ้านถวายสิ่งของและอาหารจำนวนมากแก่ท่านมิลาเรปะ แต่ท่านไม่รับสิ่งของและอาหารเหล่านั้น ทำให้ชาวบ้านยิ่งเลื่อมใสศรัทธามากขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความสุขและเบิกบานใจ ชาวบ้านทั้งหมดพากันให้คำมั่นว่า พวกเขาจะคงความศรัทธาต่อท่านอย่างไม่เสื่อมคลายตลอดไป

ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวของโยคีมิลาเรปะจากเทือกเขาหิมะ

...............................

Nov 11, 2009

ตอนที่ ๒ : เส้นทางสู่ขุนเขาลาชิ

........................

ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

เมื่อครั้งมหาโยคีมิลาเรปะ ขณะจำศีลถือสันโดษอยู่ในถ้ำ ณ หุบเขาอัญมณีศิลาแดง ท่านดำริขึ้นว่า “ถึงเวลาที่ข้าควรเดินทางไปปฏิบัติธรรมและจำศีลที่ลาชิ ขุนเขาหิมะ ตามคำสั่งของท่านอาจารย์มาร์ปะแล้ว” ดังนั้น ท่านจึงออกเดินทาง

ระหว่างการจาริกสู่ขุนเขาลาชิ ท่านมิลาเรปะผ่านหมู่บ้าน ยานอนซาร์มะ ซึ่งกำลังมีงานเลี้ยงฉลองกันอยู่ ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นกลางงานฉลองว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ได้มีมหาโยคีรูปหนึ่งนามว่า มิลาเรปะ จำศีลอยู่ตามถ้ำในเทือกเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ท่านบำเพ็ญตบะด้วยความเพียรเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมอันสูงสุด พวกท่านเคยได้ยินนามโยคีมิลาเรปะกันบ้างหรือไม่”

ขณะที่กำลังมีการกล่าวขานถึงโยคีเรืองนามท่านนั้น พลันท่านมิลาเรปะก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านงานเลี้ยง หญิงสาวในชุดอาภรณ์สวยงามนางหนึ่งนามว่า เลเซบุม ได้เชื้อเชิญนักพรตแปลกหน้าและถามว่า “ท่านเป็นใครและกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”

ท่านตอบว่า “แม่หญิง เราเป็นโยคี นามว่ามิลาเรปะ เรามาที่นี้ เพื่อขอบิณฑบาตอาหาร”

“ข้ายินดีที่จะถวายอาหารแก่ท่าน ว่าแต่ท่านคือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

“ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะหลอกลวงเจ้า” มิลาเรปะตอบ

หญิงสาวแสนจะปลาบปลื้มยินดี จึงวิ่งเข้าไปในบ้านและประกาศแก่ทุกคนว่า “ท่านโยคีผู้ทรงศีล ซึ่งพวกท่านกำลังกล่าวขานถึงด้วยความชื่นชมนับถือ บัดนี้ ท่านได้มาปรากฏกายอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว”

ชาวบ้านที่อยู่ในงานเลี้ยงทุกคน วิ่งกรูกันออกมาที่ประตู บางคนน้อมตัวลงกราบไหว้ บางคนซักถามคำถามต่าง ๆ นานา ตอนนี้ทุกคนต่างมั่นใจแล้วว่า โยคีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา คือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ จึงเชื้อเชิญท่านด้วยความนับถือเลื่อมใส และจัดหาอาหารมาถวาย

หญิงเจ้าของบ้านชื่อชินดอร์โม ได้ถามท่านว่า “ท่านโยคีผู้น่าเลื่อมใส ท่านกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”

“เรากำลังจาริกไปยังลาชิ ซึ่งเป็นเทือกเขาแห่งหิมะ เพื่อปฏิบัติธรรม” ท่านตอบ

“หากท่านจะกรุณาพวกเรา ได้โปรดพักค้างแรมที่ เดรลูน จูมู และสวดมนต์ปัดรังควานให้แก่สถานที่แห่งนั้นด้วยเถิด พวกเราจะจัดเตรียมอาหารอย่างดีเลิศตามที่ท่านต้องการมาถวาย”

ท่ามกลางแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านหลังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อว่า ชาจา กูนา กล่าวขึ้นว่า “หากท่านโยคีจะกรุณาพำนักค้างแรมที่หุบเขาเดรลูน จูมู เพื่อปราบปีศาจร้าย ข้ายินดีเสนอตัวเป็นผู้ช่วยของท่าน”

ชายอีกคนหนึ่งกล่าวตาม “นับเป็นความโชคดีของพวกเราเหลือเกิน ที่จะมีมหาโยคีมาพำนักอยู่กับพวกเราด้วย ข้ามีไร่ปศุสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถูกเหล่าปีศาจและอสูรร้ายรังควาญหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน พวกมันดุร้ายเสียจนตัวข้าไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ไร่ปศุสัตว์ของตัวเองอีกต่อไป ขอร้องท่านโยคีโปรดกรุณาไปเยี่ยมไร่ปศุสัตว์ของข้าสักครั้งด้วยเถิด”

ชาวบ้านทุกคนในที่นั้น พากันก้มลงกราบไหว้และอ้อนวอนขอให้ท่านมิลาเรปะไปที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนั้น ท่านตอบว่า “ เรายินดีไปที่ไร่นั้น มิใช่เพราะเพื่อไร่ปศุสัตว์ของท่าน แต่เพื่อบูชาท่านอาจารย์ของเราเอง”

พวกชาวบ้านรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ชายคนหนึ่งประกาศขึ้นว่า “เอาละ พวกเราจงไปจัดหาอาหารอย่างดี และเตรียมสัมภาระให้พร้อมเพื่อการเดินทางได้แล้ว”

ท่านมิลาเรปะเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ เราเป็นผู้แสวงสันโดษ เคยชินกับการอยู่คนเดียว เราไม่ต้องการผู้ร่วมเดินทาง ทั้งไม่ต้องการอาหารชั้นเลิศแต่ประการใด เราขอขอบคุณต่อน้ำใจของพวกท่าน แต่เราต้องการเดินทางไปยังไร่ปศุสัตว์นั้นเพียงลำพังในช่วงแรก หลังจากนั้น พวกท่านค่อยไปสมทบดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางไปถึงเชิงเขาเดรลูน จูมู เหล่าปีศาจที่สิงสถิตย์อยู่ในบริเวณนั้น พากันออกมาหลอกหลอนท่าน ใช้ฤทธิ์สร้างภาพหลอนต่าง ๆ เช่น ทำให้ยอดภูเขาแทงสูงขึ้นจนดูเหมือนทะลุถึงท้องฟ้า ทำให้ภูเขาทั้งเทือกสั่นไหวและแกว่งโยนไปมา ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามสนั่นอย่างโกรธเกรี้ยว ท้องฟ้ามืดทมึน แสงฟ้าผ่าลงมาเป็นเส้นแปลบปลาบฟาดใส่โดยรอบ ภูเขาทั้งสองด้านของหุบเขาเดรลูน จูมู สั่นสะเทือนและเลื่อนแยกออกจากกัน แม่น้ำที่เคยไหลผ่านหุบเขาอย่างสงบ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลทะลักทำลายท่วมตลิ่งทั้งสองฝั่ง ทำให้หุบเขากลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ไปในทันที ทะเลสาบนี้ต่อมาภายหลัง ชาวบ้านเรียกขานกันว่า ทะเลสาบอสูร

ท่านมิลาเรปะลุกขึ้นประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำที่ไหลท่วมหุบเขาจึงได้ลดถอยลงไป ท่านเดินไปยังที่ราบเบื้องต่ำของหุบเขา เหล่าปีศาจยังคงสำแดงฤทธิ์อยู่อย่างต่อเนื่อง ภูเขาหลายลูกสั่นสะเทือนเลือนลั่น ก้อนหินจากยอดเขาแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย สาดกลิ้งลงมาเหมือนห่าฝนใหญ่ ทันใดนั้นเอง เทพธิดาแห่งเนินเขาได้เนรมิตเส้นทางที่ปลอดภัยให้ท่านเดิน เส้นทางนี้คดเคี้ยวไปตลอดสันเขาแลดูเหมือนทางงูเลื้อย ต่อมาชาวบ้านเรียกเส้นทางเดินนี้ว่า สันเขาฑากิณี

เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปนี้ เป็นเพียงการพิชิตปีศาจที่มีฤทธิ์ระดับต่ำเท่านั้น พวกปีศาจและอสูรที่ดุร้ายและมีฤทธิ์เดชมากกว่ากำลังโกรธเกรี้ยวต่อความผ่ายแพ้ของปีศาจชั้นต่ำ พวกปีศาจไปชุมนุมกันที่ปลายทางของสันเขาฑากิณี รวมพลังกันเพื่อสำแดงฤทธิ์ระลอกใหม่ หวังทำร้ายและหลอกหลอนท่านมิลาเรปะ แต่ท่านได้กำหนดจิตเป็นสมาธิ และลุกขึ้นยืนประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์อีกท่าหนึ่ง เพื่อกำราบฤทธิ์ของเหล่าปีศาจ ทำให้ภาพหลอนของปีศาจหายวับไปในพริบตา จากนั้นท้องฟ้าก็เปิดและกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง ศิลาก้อนใหญ่ที่ท่านมิลาเรปะยืนประกอบมุทรา ได้ปรากฏรอยเท้าของท่านประทับอยู่บนนั้นด้วย


ต่อจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้นั่งลงบนยอดเนินเขา เพื่อเจริญสมาธิแห่งมหาการุณยธรรม ความกรุณาอย่างลึกซึ้งต่อเหล่าสรรพสัตว์ได้ผุดขึ้นในจิตของท่าน ประสบการณ์นี้ทำให้ท่านได้ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต่อมาภายหลัง สถานที่แห่งนี้ได้ถูกขนานนามจากชาวบ้านว่า “เนินเขาแห่งความกรุณา” หลังจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้เดินลงไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่มีน้ำใสสะอาด และเจริญธาราโยคะ โดยกำหนดจิตเป็นสมาธิ จดจ่อกระแสน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่อง

ล่วงเข้าวันที่ ๑๐ ในเดือนฤดูใบไม้ร่วง ปีเสือไฟ ปีศาจจากเนปาลตนหนึ่ง นามว่า “ภาโร” ได้นำกองทัพปีศาจและอสูรร้ายจำนวนมากมายังหุบเขาลุ่มแม่น้ำ เพื่อทำร้ายท่านมิลาเรปะ เหล่าอสูรเริ่มข่มขวัญท่านด้วยภาพลวงตา ทำให้เทือกเขาทั้งหมดสั่นไหวและถล่มทลายลงมา จากนั้นจู่โจมด้วยสายฟ้าและอาวุธต่าง ๆ ที่พุ่งถาโถมเข้าใส่ท่านราวกับพายุ พวกมันกรีดเสียงคำรามดังสนั่น “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ” และปรากฏรูปอันน่าเกลียด น่าสยดสยอง ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ล่องลอยไปทั่วหุบเขา

เมื่อท่านมิลาเรปะสัมผัสรู้ถึงเป้าประสงค์ของกองทัพปีศาจร้าย ท่านจึงขับลำนำบทที่ชื่อว่า “สัจจะแห่งกรรม” เพื่อเป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ

ข้าขอน้อมคารวะท่านอาจารย์
และขอบูชาอาจารย์ผู้ประเสริฐทุกท่านเป็นที่พึ่ง

ท่ามกลางภาพหลอน และมายาการทั้งปวง
อันปีศาจแลอสูรชายหญิง
เนรมิตขึ้นอย่างน่าสยดสยอง
เหล่าผีเปรต อาซามะ ผู้น่าสังเวช
พวกเจ้ามิอาจหลอกหลอนข้าได้ดอก
ด้วยเหตุอันเกิดแต่กรรมในอดีตของพวกเจ้า
จึงนำเจามากำเนิดในร่างปีศาจร้าย
ด้วยจิตและกายอันพิกลพิการเช่นนี้
เจ้าจึงท่องไปอย่างผู้หลงทาง

จิตอันประกอบด้วยเพลิงกิเลส
ชักนำเจ้าสู่ความโกรธเกรี้ยวดุร้าย
โทสาคติครอบงำหัวใจและความคิดของเจ้าสิ้น
ฉะนั้น วจีกรรมและกายกรรมของเจ้า
จึงฉายโชนไปแต่เพียงการทำลายล้าง
ผ่านเสียงโหยหวนจากวาจาของเจ้า
“ฆ่ามันเสีย ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ”

ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ ผู้ไม่ติดยึดในทวิภาค
ข้ารู้ว่าสรรพสิ่งล้วนก่อจากจิต

ข้าเยื้องย่างองอาจดุจสีหราชา
ข้าปราศจากความกลัวดั่งนักรบผู้กล้า
กายของข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธกาย
คำพูดของข้าเป็นสัจจะเดียวกับวจีขององค์ตถาคต
จิตข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับโพธิจิต
ข้าย่อมเห็นแจ้งถึงธรรมชาติอันว่างเปล่าของอายตนะ ๖
ฉะนั้น โยคีมิลาเรปะ
จึงไม่ใส่ใจการหลอกหลอนของพวกเจ้า

ด้วยกฏแห่งเหตุและผล
ด้วยกฏแห่งอิทัปปัจจยตา
ผู้ใดก่อเหตุเช่นไร ย่อมต้องรับผลเช่นนั้น
ผู้ประกอบอกุศลกรรม ย่อมต้องทนทุกขเวทนา
ตามกฏแห่งกรรม

เนื่องเพราะพวกเจ้าทุกข์ทรมานด้วยกรรมที่เจ้าก่อ
พวกเจ้าจึงไม่อาจเข้าถึงความจริงแท้
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ
จะเทศน์ธรรมเพื่อสอนพวกเจ้า

สัตว์โลกทั้งหลาย
ล้วนเปรียบเป็นบิดาและมารดาของข้า
การทำร้ายผู้ควรกตัญญู
ย่อมเป็นสิ่งโง่เขลาเบาปัญญา

พวกเจ้าจะพบปีติและเบิกบาน
หากพวกเจ้าเพิกถอนมิจฉาทิฏฐิเสียได้
พวกเจ้าจะพบแต่โชควาสนาอันพึงประสงค์
หากพวกเจ้าถือตามกุศลกรรม ๑๐
จงจดจำถ้อยคำของข้า
จงใคร่ครวญหาความหมาย
จงพยายามเคี่ยวกรำตน
พิจารณาอย่างถ้วนถี่
ถึงนัยยะอันแท้จริงในธรรมเทศนาของข้า

เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์จบ เหล่าปีศาจพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ย “บทเพลงเพ้อเจ้อของเจ้า ไม่อาจหลอกลวงข้าได้หรอก พวกข้าจะไม่ยุติการหลอกหลอนเจ้า” พูดจบเหล่าปีศาจก็รวมพลังกันแสดงอภินิหารให้น่ากลัวเพิ่มขึ้นอีก

ท่านมิลาเรปะพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเหล่าอสูร ภูติและผีเปรต จงตั้งใจฟังให้ดี เนื่องเพราะมหากรุณาคุณของท่านอาจารย์มาร์ปะ เราจึงสำเร็จเป็นโยคีผู้ตระหนักรู้ในความจริงสูงสุด สำหรับตัวเราแล้ว อุปสรรคและความทรมานอันเกิดจากการกระทำของพวกเจ้า นับเป็นเกียรติและนำความยินดี ยิ่งเจ้าหลอกหลอนเรามากเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใกล้เส้นทางแห่งพระโพธิสัตว์มากขึ้นเท่านั้น

บัดนี้ พวกเจ้าจงตั้งใจฟังธรรมคีตาว่าด้วย “เครื่องประดับ ๗ ประการ “

ข้าขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ

ตัวข้า มิลาเรปะ
ผู้เห็นทะลุถึงความจริงแท้ของชีวิต
ขอขับคีตาแห่งเครื่องประดับทั้ง ๗

พวกเจ้า เหล่าอสูร ผีเปรต และภูติพราย
จงเอียงหูของเจ้าเข้ามาใกล้
จงตั้งใจฟังธรรมบรรยายของข้าให้ดี

ใจกลางขุนเขาแห่งจักรวาล
คือที่ตั้งแห่งยอดพระสุเมรุ
ฟ้าครามส่องสว่างคลุมแผ่นดินมนุษย์ ณ เบื้องทิศใต้
เวหาหาวงามพิสุทธิ์เหนือพื้นโลก
สีฟ้าจากสรวงสวรรค์คือเครื่องประดับอันงามงด

เหนือยอดพฤกษ์วิเศษแห่งเขาพระสุเมรุ
พระอาทิตย์และพระจันทร์
แผ่รัศมีส่องคลุมทั่วทวีปทั้ง ๔
พญานาคราชสำแดงฤทธิ์ด้วยเมตตา
สาดสายฝนฉ่ำเย็นจากฟ้ากว้าง
คือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่พิภพ

ละไอหมอกคลุมทั่ว
จากพื้นสมุทรจรดสวรรค์
แหล่งกำเนิดคือหมู่มวลเมฆ
คือมูลเหตุแห่งความแปรเปลี่ยนของสรรพธาตุ

สายรุ้งแห่งคิมหันตฤดู
ทอดโค้งเหนือทุ่งกว้าง
พาดสายอ่อนละมุนเหนือหุบดอยและขุนเขา
สายรุ้งคือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่ผืนโลก

ยามฝนโปรยสายสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งทักขิณาทิศ
พฤกษานานาพรรณเปล่งดอก ชูช่อ ออกผล
เป็นรางวัลแด่สรรพชีวิตทั่วหล้า
เป็นความงาม เป็นเครื่องประดับอันวิเศษ

ตัวข้า โยคีผู้ปรารถนาสันโดษ
ภาวนายังวิเวกด้วยจิตว่าง
สงัดอยู่ในอำนาจความสงบ
พวกเจ้าเหล่าปีศาจผู้ใช้ฤทธิ์ในทางที่ผิด
สำหรับข้า โยคีมิลาเรปะ
เวทมนต์แห่งอสูร และฤทธิ์ภูติพราย
คือความงาม คืออาภรณ์ประดับสำหรับข้า

พวกเจ้า เหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
จงเข้ามาใกล้ และตั้งใจฟัง
จงจำไว้ให้ดีว่าข้าคือโยคีมิลาเรปะ
หัวใจข้าผลิบานด้วยดอกไม้แห่งความรู้แจ้ง

ข้าขับขานคติธรรมด้วยเสียงกังวานใส
ด้วยถ้อยความอันเป็นธรรมสัจจ์
ด้วยการุณยจิตอันข้ามีต่อพวกเจ้า
ข้าขอมอบคำสอนนี้แก่พวกเจ้า

หากแม้นหัวใจของพวกเจ้า
มีหน่อเนื้อแห่งโพธิจิต
เจ้าจักสามารถชนะกิเลสด้วยตัวเจ้าเอง
เจ้าจะพบสุขและทางอิสระ
โดยสลัดทิ้งซึ่งอกุศลกรรมทั้ง ๑๐ เสีย

หากเพียงพวกเจ้าเจริญตามคำสอนนี้
หนทางบรรลุธรรมรอเจ้าอยู่
หากเพียงพวกเจ้าปฏิบัติธรรมตั้งแต่บัดนี้
ความสุขอันเป็นนิรันดร์จักเป็นของเจ้า


เมื่อท่านมิลาเรปะขับร้องธรรมคีตาจบลง ปรากฏว่าปีศาจหลายตนยุติการสำแดงฤทธิ์ หันมาเลื่อมใสศรัทธาท่าน ปีศาจตนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ ท่านก็คือมหาโยคีผู้เปี่ยมด้วยพลังอันน่าเลื่อมใส หากปราศจากคำสอนเกี่ยวกับความจริงแท้ ซึ่งท่านกรุณาสาธยายแก่พวกข้า พวกข้าคงไม่มีวันพบทางสว่างแห่งความเข้าใจแจ้ง นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่หลอกหลอนทำร้ายท่านอีก แต่ข้ายังคงปรารถนาที่จะได้รับคำสอนเกี่ยวกับเรื่องกฏแห่งกรรมจากท่านต่อ ข้ารู้ตัวดีว่า ปีศาจและอสูรอย่างพวกข้า มีข้อจำกัดทางสติปัญญา ทั้งวิชชาและอวิชชา จิตของพวกเราจมปลักอยู่ในหนองบึงแห่งกิเลสตัณหา ขออ้อนวอนท่านโยคี โปรดมอบคำสอนที่มีความหมายลึกซึ้งมีประโยชน์และเข้าใจง่าย เพื่อให้พวกข้าจะได้ปฏิบัติตามด้วยเถิด

ท่านมิลาเรปะ จึงเทศนาโศลกที่ว่าด้วย “คีตาแห่งสัจจะทั้ง ๗“ เป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ

ขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ
นักแปลผู้ยิ่งใหญ่
อธิษฐานขอท่านช่วยนำข้าสู่โพธิจิต

แม้นธรรมคีตาจักบรรเลงได้ไพเราะเพียงใด
หากผู้ฟังมิอาจเข้าถึงความจริงแห่งถ้อยความ
คีตานั้นจักเป็นได้เพียงท่วงทำนองสามัญ

ถ้อยภาษิตใดไม่พ้องด้วยพระธรรม
ต่อให้เขียนด้วยคารมคมคายเพียงใด
ภาษิตนั้นจักเป็นได้เพียงเสียงสะท้อนซึ่งผ่านไปในอากาศ

หากไม่ปฏิบัติธรรม
ต่อให้ยกคัมภีร์ใดมากล่าวอ้าง
ผู้นั้นจักเป็นได้เพียงผู้หลอกลวงตน

การปลีกวิเวกจะเป็นเพียงคุกจองจำตัวเอง
หากไม่ปฏิบัติตามคำสอนที่อาจารย์ถ่ายทอดให้
ความเพียรอย่างเหนื่อยยากจะกลายเป็นการทรมานตน
หากละเลยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

สำหรับผู้ไม่รักษาศีล
การสวดอธิษฐานจักเป็นเพียงคำเพ้อเจ้อ
และสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ตนเที่ยวสั่งสอนผู้อื่น
วาทกรรมนั้นถือเป็นคำลวงโลก

ละเว้นการทำชั่วเสีย บาปจะลดลง
เพียรทำความดี บุญจะเพิ่มปรากฏ
จงรักษาสันโดษ และหมั่นภาวนา
พูดมากไปนั้นไร้ประโยชน์
จงฟังสิ่งที่ข้าสอน
และปฏิบัติธรรมเสียแต่เดี๋ยวนี้

เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์เรื่อง “ความจริง ๗ ประการ” จบลง ปีศาจกลุ่มหนึ่งเกิดความเลื่อมใสยิ่ง พากันเข้ามากราบไหว้และเดินประทักษิณรอบตัวท่านเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นปีศาจส่วนใหญ่ได้พากันกลับไปที่อยู่ของตนแล้ว ยังคงเหลือแต่หัวหน้าปีศาจนาม ภาโร และสมุนที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยังคงพยายามสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพลวงตาที่ชวนขนพองสยองเกล้า หลอกหลอนท่านมิลาเรปะต่อไป แต่ท่านกลับโต้ตอบพวกปีศาจกลุ่มนี้ ด้วยบทเพลงที่ชื่อว่า “ความจริงแห่งความดีและความชั่ว”

ข้าขอน้อมคารวะแทบเท้าท่านอาจารย์มาร์ปะผู้ประเสริฐ

พวกเจ้าเหล่าปีศาจร้าย
ความโกรธเกลียดยังครอบงำจิตใจเจ้าอยู่ใช่ไหม
ร่างอันใหญ่โตของเจ้า
แม้จะเหาะไปได้ไกลถึงขอบฟ้า
แต่จิตใจของพวกเจ้า
กลับเปี่ยมด้วยมิจฉาทิฏฐิ
พวกเจ้าแยกเขี้ยวเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน
แต่จงจดจำไว้เถิดว่า
ยามใดที่พวกเจ้าทำร้ายผู้อื่น
ทุกข์นั้นจักย้อนกลับคืนมาสู่พวกเจ้าเสมอ
กฏแห่งกรรม คือกฏแห่งความจริง
ไม่มีใครหนีกฏแห่งกรรมพ้นดอก
เจ้าคือผู้ก่อทุกข์แก่ตัวเจ้าเองเสมอ
พวกเจ้า เหล่าอสูรและภูติผีที่น่าสงสาร
พวกเจ้าล้วนว่ายวนอยู่ในบาปและความไม่รู้
ข้ารู้สึกสังเวชพวกเจ้ายิ่งนัก
เนื่องด้วยบาปที่พวกเจ้าก่อ
จิตของพวกเจ้าจึงดุร้ายและเกรี้ยวกราด
นับแต่พวกเจ้าเริ่มเข่นฆ่าทำร้าย
ลิ้นของเจ้าจึงอร่อยในรสเลือดและเนื้อสด
เพราะพวกเจ้าเฝ้าแต่จะเอาชีวิตผู้อื่น
พวกเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหยอยู่เยี่ยงนี้

อกุศลกรรมชักนำพวกเจ้า
ดิ่งลึกลงสู่ความเลวทรามต่ำช้า
กลับตัวเถิดมิตรสหายของข้า
กลับตัวกลับใจจากกับดักแห่งอกุศลทั้งปวง
จงตั้งเจตนาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้
อันพ้นไปจากความปรารถนาและความกลัวใด ๆ

เมื่อท่านมิลาเรปะขับคีตาว่าด้วยความจริงของกรรมดีและกรรมชั่วจบ เหล่าปีศาจร้ายยังคงพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ยท่านว่า “เจ้านักเทศน์จอมปลอมฝีปากกล้า สิ่งที่เจ้าสาธยายมาล้วนน่าประทับใจ แต่พวกข้าจะเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้าได้ปฏิบัติจนเข้าถึงความจริงดังว่าแล้ว”

ท่านจึงตอบกลับด้วยคีตาโศลกนี้ “ความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์”

ข้าคือโยคี ผู้เข้าถึงความจริงสูงสุด
ข้าเชื่อมั่น นับแต่ครั้งยังอยู่ในครรภ์มารดา
บนเส้นทางแห่งวัฏสงสารนี้
ข้าค่อย ๆ ชำระตนให้บริสุทธิ์
ด้วยสัญญาณและถ้อยคำที่มากความหมาย
ด้วยเมตตาจิตที่ไหลเลื่อนจากใจข้า
บัดนี้ ข้าจะขับขานคีตาจากแก่นธรรม

เพราะพวกเจ้าทำบาปไว้มาก
ดวงตาของเจ้าจึงขุ่นมัวและมืดบอด
หัวใจของพวกเจ้าเข้าไม่ถึงความจริงแท้
ปัญญาของพวกเจ้าไม่เข้าใจความหมาย
ดังนั้น จงตั้งใจฟังให้ดี
นี่คือทางลัดสู่ความจริง

พระสูตรบริสุทธิ์แต่โบราณ
อีกทั้งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่กาลก่อน
ล้วนตรัสถึงความจริงแห่งกรรมดังนี้
สัตว์โลกทั้งหลายล้วนผูกพันเป็นพี่น้อง
นี่คือความจริงแท้แห่งสายสัมพันธ์
ขยับเข้ามาใกล้ ๆ และจงตั้งใจฟัง
คำสอนแห่งกรุณาธรรม

ข้าคือโยคีผู้เคี่ยวกรำตนด้วยการปฏิบัติ
ข้ารู้ดีว่าอุปสรรคภายนอกทั้งหลายล้วนเป็นเพียงเงา
ภาพหลอนมายาทั้งปวงนั้นเล่า
ก็เป็นเพียงการเล่นกลของจิตอันไม่ปรากฏ
หากมองเข้าไปให้เห็นถึงธรรมชาติเดิมแท้ของจิต
ย่อมไร้แก่นสารและว่างเปล่า

จงเจริญภาวนาอย่างสงบ
ด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรมจากคุรุทุกท่านที่บรรลุแล้ว
และด้วยคำสอนของท่านนาโรปะ
จงใช้สัจธรรมอันอยู่ภายในองค์พระพุทธ
เป็นเครื่องเหนี่ยวนำจิตภาวนา

ข้าถ่องแท้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งแห่งตันตระ
เนื่องเพราะอาจารย์ข้ามีวิธีการสอนที่ดี
พลังภายในของข้าบังเกิดขึ้นได้
เพราะข้าปฏิบัติโยคะแห่งการตื่นรู้
และอนุตตระโยคะแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อข้าหยั่งรู้ถึงปรมาณูภายในได้ทั่วแล้ว
ใยข้าต้องหวาดกลัวกับอุปสรรคมายาจากโลกภายนอกด้วยเล่า

พุทธาจารย์และมหาโยคีทั้งหลาย
ล้วนสอนตรงกันดังนี้
หากมีสติพิจารณาจิตอยู่ทุกขณะ
ความคิดปรุงแต่งจะอันตรธานไปสิ้น
ภายในมณฑลแห่งพระธรรมธาตุ
ไม่ปรากฏทุกข์ ทั้งก็ไม่มีผู้ทุกข์
จงเชื่อเถิดว่า
แม้นพระสูตรที่ละเอียดที่สุด
ก็มิได้สอนอะไรยากไปกว่านี้

เมื่อท่านมิลาเรปะสาธยายจบ หัวหน้าปีศาจและเหล่าสมุนที่ดุร้ายได้พากันบูชาหัวกระโหลกแก่ท่าน พร้อมกับก้มลงกราบแล้วเดินวนประทักษิณรอบตัวท่านหลายรอบ เป็นการแสดงความนับถือเลื่อมใส เหล่าปีศาจได้สัญญากับท่านว่าจะถวายอาหารแก่ท่านตลอดทั้งเดือน จากนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนรุ้งกินน้ำที่ค่อย ๆ จางไปจากขอบฟ้า

อรุณรุ่งวันใหม่ ปีศาจภาโรจากเมืองมอน ได้พาภูติสาวที่แต่งกายอย่างสวยงาม และบริวารอีกจำนวนหนึ่ง นำเมรัยใส่แก้วเจียรนัยพร้อมกับอาหารในถาดเงินมาถวายท่าน ทั้งยังสัญญาว่าจะปรนนิบัติรับใช้และเชื่อฟังท่านตลอดไป เหล่าปีศาจก้มลงกราบไหว้ท่านอีกหลายรอบ ก่อนที่จะพากันหายตัวไป ในจำนวนนี้ยังมีปีศาจตนหนึ่งชื่อว่า จาร์โป ทอนเดรม ซึ่งเป็นหัวหน้าของเทพหลายองค์รวมอยู่ด้วย

จากประสบการ์ครั้งนี้ทำให้ท่านมิลาเรปะได้รับความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ท่านพำนักอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือนอย่างเบิกบาน

วันหนึ่งท่านระลึกได้ถึงขุนเขาลาชิ สถานที่มีชื่อว่าน้ำบริสุทธิ์ จึงตัดสินใจออกเดินทาง ในระหว่างทาง ท่านเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ผ่านทุ่งกุหลาบซึ่งมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ใต้เชิงผา ท่านนั่งพักอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ พลันเทพธิดาหลายนางปรากฏตัวขึ้น พวกนางคารวะ และถวายเครื่องบูชาแก่ท่าน หนึ่งในเทพธิดาได้ประทับรอยเท้าสองรอยไว้ที่ก้อนหินนั้น ก่อนที่จะพากันเลือนหายไปเหมือนสายรุ้ง

ระหว่างทางต่อมา ท่านมิลาเรปะได้เผชิญการหลอกหลอนจากปีศาจท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่ง เหล่าปีศาจได้ชุมนุมกันสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพหลอนเป็นโยนีมหึมาขึ้นขวางทาง ท่านเพ่งจิตเป็นสมาธิ และประกอบท่ามุทรา เผยองคชาติที่ตั้งชูชัน แล้วย่างสามขุมต่อไปเบื้องหน้าอย่างมีสติ เดินผ่านปีศาจที่แปลงกายเป็นโยนี ๙ ตน จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีก้อนหินรูปร่างเหมือนช่องคลอดสตรีตั้งตระหง่านอยู่ ท่านมิลาเรปะนำศิลารูปองคชาติสอดแทงเข้าไปในช่องว่างของศิลารูปโยนี ทันใดนั้นภาพหลอนยั่วกามตัณหาที่เหล่าปีศาจสร้างขึ้นก็กระจายหายวับไปในอากาศ ต่อมาภายหลังสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลัดคุ ลันคุ

เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางมาได้ครึ่งทาง ปีศาจภาโรได้ย้อนกลับมาต้อนรับท่าน และได้จัดเตรียมธรรมาสน์ เพื่อให้ท่านนั่งสาธยายธรรมให้พวกตนฟัง ท่านจึงบรรยายเรื่องกรรมอย่างง่าย ๆ ที่ปีศาจสามารถเข้าใจได้ เมื่อเหล่าปีศาจฟังคำสอนจบ ต่างพากันหายตัวเข้าไปในก้อนหินก้อนใหญ่ตรงหน้า

ท่านมิลาเรปะมีความปีติอย่างยิ่ง จึงพำนักอยู่ที่ทุ่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือน จากนั้นจึงเดินทางย้อนกลับผ่านหมู่บ้าน ยานอน ซาร์มะ ที่ซึ่งชาวบ้านขอให้ท่านช่วยปราบปีศาจร้าย ท่านได้เล่าให้ชาวบ้านฟังว่า เหล่าปีศาจล้วนกลับตัวกลับใจหมดแล้ว และสถานที่แห่งนั้น บัดนี้เหมาะจะเป็นสถานสำหรับปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งอีกด้วย ท่านกล่าวว่าท่านจะกลับไปเจริญสมาธิ ณ สถานที่นั้นอีกในไม่ช้านี้ ชาวบ้านพากันกราบไหว้ท่านด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการจาริกสู่ขุนเขาลาชิของโยคีมิลาเรปะ

ตอนที่ ๑ : เรื่องเล่าจากหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

................


ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

เมื่อครั้งมหาโยคีมิลาเรปะ ขณะจำสันโดษเพื่อเจริญมหามุทรา[1] อยู่ในถ้ำ ณ หุบเขาอัญมณีศิลาแดง ท่านเกิดความหิว จึงดำริจะหุงหาอาหาร พลันก็พบว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งฟืน เกลือ น้ำมัน แป้ง และแม้แต่น้ำ "ดูเหมือนข้าจะละเลยมากเกินไป" ท่านรำพึงกับตัวเอง "ข้าต้องออกไปหาอาหาร หาฟืน และน้ำ"


ขณะที่ท่านกำลังรวบรวมกิ่งไม้ได้มัดหนึ่ง ทันใดก็เกิดพายุลูกใหญ่พัดมา ลมพายุแรงจนพาเอากิ่งไม้ปลิวกระจายไป และพัดผ้าพันกายเก่า ๆ ของท่านจนปลิวว่อน เมื่อท่านพยายามรั้งผ้าพันกายไว้ กิ่งไม้ก็ถูกลมพัดไปเสียแล้ว ครั้นท่านพยายามจะคว้ากิ่งไม้ไว้ ผ้าพันกายของท่านก็ปลิวไปกับลมพายุเสียอีก


ท่านมิลาเรปะรำพึงกับตัวเอง "ดูเถิด แม้ว่าข้าจะปฏิบัติธรรมและจำศีลถือสันโดษมาเป็นเวลานาน แต่ข้าก็ยังไม่สามารถกำจัดความติดยึด การปฏิบัติธรรมจะมีประโยชน์อันใดเล่า ถ้ายังไม่สามารถละความติดยึดเหล่านี้ได้ ขอให้พัดไปเถิด ถ้าลมอยากจะพัดเอากิ่งไม้ของข้าไป พัดไปเถิด หากลมพายุอยากจะพัดผ้าพันกายของข้าจนขาดวิ่น" ท่านยุติการต้านทานต่อกระแสลมพายุ แต่ด้วยร่างกายอ่อนแอและขาดอาหาร ดังนั้น เมื่อลมพัดมาอีกระลอกหนึ่ง ท่านจึงล้มลงและหมดสติไป

เมื่อพายุสงบลงแล้ว ท่านฟื้นขึ้นมาและเหลือบเห็นเศษผ้าพันกายเก่า ๆ ปลิวไปติดอยู่บนยอดไม้ ขณะจิตนั้นท่านรู้สึกถึงความปล่อยวางอย่างลึกซึ้ง จึงนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ และเจริญสมาธิ


กลุ่มเมฆสีขาวปรากฏขึ้นทางหุบเขาโดรโว ไกลออกไปทางทิศตะวันออก "เบื้องใต้กลุ่มเมฆนั้นคือที่พำนักของท่านอาจารย์มาร์ปะ[2]" ท่านมิลาเรปะรำพึง "ณ ขณะนี้ท่านอาจารย์และภรรยาของท่านคงกำลังแสดงตันตระธรรม คงกำลังประกอบพิธีอภิเษก และให้คำสอนแก่พี่น้องของข้า ถ้าข้าสามารถไปที่นั้นได้เดี๋ยวนี้ ข้าคงได้พบท่านอาจารย์" ความปรารถนาที่จะได้พบท่านอาจารย์มาร์ปะท่วมท้นอยู่ในหัวใจของท่าน แต่เมื่อหวนนึกถึงความจริงว่าคงหมดหวังจะได้พบท่านอาจารย์แน่แล้ว น้ำตาพลันนองใบหน้า ท่านมิลาเรปะจึงขับขานคีตาโศลกนี้ “ครุ่นคำนึงถึงอาจารย์ข้า"


ยามข้าครุ่นคำนึงถึงท่าน

ท่านอาจารย์มาร์ปะ

ความทุกข์ของข้าได้รับการบรรเทา

ข้าเป็นเพียงยาจกผู้ยากไร้

บัดนี้ จะขับขานบทเพลงแห่งศรัทธา


เหนือหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

ห่างไปทางทิศตะวันออก

กลุ่มเมฆขาวลอยละล่อง

เบื้องใต้นั้น

ประหนึ่งช้างเชื่องเชือกหนึ่ง

และทิวเขาสูงตระหง่าน

เบื้องข้าง

ประหนึ่งสิงห์กำลังเผ่นกระโจน

โผนทยานสู่ยอดเขาลูกถัดไป


ณ ศิลาก้อนใหญ่

ภายในนิวาสแห่งหุบเขาโดรโว

ใครกำลังนั่งอยู่ที่นั้น

ใช่ท่านอาจารย์มาร์ปะหรือเปล่า

หากว่าเป็นท่าน ข้าคงปีติยิ่ง

แม้ว่าข้าจะพร่องการบูชา

แต่ข้าก็ยังปรารถนาจะพบท่าน

แม้ว่าข้าจะอ่อนศรัทธา

แต่ข้าก็ยังปรารถนาจะเข้าร่วมกับท่าน

ยิ่งภาวนามากเท่าใด

ข้ายิ่งครุ่นคำนึงถึงท่านเท่านั้น


แม่นางดักมีม่า ภรรยาของท่าน

พำนักอยู่ที่นั้นด้วยหรือไม่

ข้ากตัญญูต่อนางมากกว่ามารดาของข้าเองเสียอีก

หากนางพำนักอยู่ด้วยท่าน

ข้าคงยินดีและมีความสุข

แม้ว่าหนทางจะแสนไกล

แต่ข้าก็ปรารถนาจะพบนาง

แม้หนทางจะอันตราย

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเข้าร่วมกับนาง

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


จะปลื้มปีติเพียงใด

หากข้าอยู่ในที่ชุมนุมนั้นด้วย

ท่านคงกำลังสอนเหวัชรตันตระ

แม้ว่าจิตของข้าจะสามัญ

แต่ข้าก็ปรารถนาจะร่ำเรียน

แม้ว่าข้าจะโง่เขลาเบาปัญญา

แต่ข้าก็ปรารถนาจะท่องจำ

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


ท่านคงกำลังแสดงอภิเษกญาณ ๔

หากแม้นข้าได้ร่วมด้วย

ข้าคงเบิกบานและปีติ

แม้ว่าข้าจะบุญน้อย

แต่ข้าก็ปรารถนาจะได้รับการอภิเษก

แม้ว่าข้าจะยากจนด้วยเครื่องบูชา

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเข้าร่วม

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


ท่านคงกำลังสอนโยคะ ๖ ประการของท่านนาโรปะ

หากว่าข้าได้ฟังคำสอนของท่าน

ข้าคงเบิกบานและปีติ

แม้ว่าข้าจะด้อยความเพียร

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเรียนรู้

แม้ว่าข้าจะอ่อนมานะ

แต่ข้าก็ปรารถนาจะฝึกตน

ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งครุ่นคำนึงถึงท่าน

ยิ่งภาวนา ยิ่งโหยหาท่านอาจารย์ของข้า


พี่น้องของข้าจากแคว้นวูและซางคงอยู่รวมกันที่นั่น

ข้าปีติและยินดีกับพวกเขา

แม้ประสบการณ์และความตื่นตระหนักของข้าจะต่ำชั้นกว่า

แต่ข้าก็ปรารถนาจะเทียบกับพวกเขา

ด้วยศรัทธาและความนับถือจากส่วนลึกที่สุด

ข้าไม่เคยแยกออกจากท่าน

บัดนี้ข้าทนทุกข์ด้วยปรารถนาจะพบท่าน

ศรัทธาแรงกล้านี้กำลังทรมานข้า

ความทุกข์นี้ทำให้ข้าหายใจไม่ออก


ข้าขออธิษฐานต่อท่าน

อาจารย์ผู้เปี่ยมเมตตา

โปรดช่วยปลดปล่อยข้าจากความทุกข์นี้ด้วยเถิด


มิทันที่ท่านมิลาเรปะจะขับขานบทเพลงจบ ท่านอาจารย์มาร์ปะก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกสีรุ้งสะท้อนผ้าพันกายเป็นสีเบญจรงค์ ท่านมีสิงห์เป็นพาหนะ ใบหน้าของท่านเปล่งประกายรัศมี ท่านเดินเข้าใกล้และกล่าวแก่ท่านมิลาเรปะดังนี้

"เจ้าหมอผีผู้วิเศษ[3] ลูกชายของเรา ใยเจ้าดิ่งลึกอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น" ท่านมาร์ปะถาม "เจ้าใช่ไหมที่เรียกพบข้าด้วยดวงจิตอันแรงกล้า เหตุใดเจ้าจึงต่อสู้ดิ้นรนเหลือเกิน เจ้าไม่ได้ศรัทธาในคุรุสาวกแห่งพุทธะแล้วกระนั้นหรือ หรือโลกภายนอกรบกวนจิตของเจ้า หรือโลกียวายุทั้ง ๘[4] โหยหวนในถ้ำของเจ้า ความกลัวและความปรารถนาได้ดูดเอาพลังของเจ้าไปหมดแล้วหรืออย่างไร หรือเจ้าไม่ได้บูชาพระรัตนตรัย หรือเจ้าไม่ได้อุทิศส่วนกุศลของเจ้าแก่สัตว์โลกตลอดภพภูมิทั้ง ๖ หรือเจ้ายังเข้าไม่ถึงเมตตาธรรมอันจักสามารถชำระอกุศลกรรม และเพิ่มบุญวาสนา ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม ขอเจ้าจงแน่ใจว่าเรามิได้แยกออกจากเจ้าเลย ด้วยหมายมั่นในพระธรรม และประสงค์ช่วยเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ ขอเจ้าจงภาวนา จงเจริญสมาธิต่อไปยิ่ง ๆ ขึ้น"


ภาพบันดาลของอาจารย์มาร์ปะ ยังความปีติแก่ท่านมิลาเรปะเป็นยิ่งนัก ท่านจึงขานตอบด้วยคีตาโศลกนี้


ยามนิมิตเห็นใบหน้าอาจารย์ข้า

ได้สดับสำเนียงวาจาท่าน

ข้าผู้เป็นยาจกยากไร้

ปราณในหัวใจของข้าก็พลันสั่นสะท้าน

ยามระลึกได้ถึงคำสอนของท่านอาจารย์

มนัสข้าเปี่ยมด้วยบูชา

ยามข้าได้รับพรอันประเสริฐจากท่าน

ความคิดอกุศลทั้งปวงอันตรธานสิ้น


คีตาโศลก "ครุ่นคำนึงถึงอาจารย์"

อันข้าร่ายจากก้นบึ้งหัวใจ

ท่านคงได้สดับแล้ว

กระนั้น ข้ายังคงมืดบอด

ขอท่านโปรดสาธยายเพื่อเป็นมงคลคุ้มครองข้าด้วยเถิด


ด้วยความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ

คือเครื่องบูชาสูงสุดที่ข้ามอบแด่ท่าน

เพื่อยังความพึงใจแด่ท่าน

ข้าจะภาวนาอย่างเข้มข้น

การจำศีลสันโดษภายในถ้ำอย่างอดทน

คือการรับใช้สูงสุดต่อฑากิณี[5]

การอุทิศตนแด่พระธรรมอันประเสริฐ

คือการรับใช้อันเลิศแด่พระพุทธเจ้า

ขออุทิศตัวข้าแก่ภาวนามัย

เพื่อช่วยเพื่อนทุกข์ผู้เวียนว่ายตายเกิด

การยอมรับความตายและความเจ็บป่วย

คือพรวิเศษอันช่วยชำระบาป

ข้าจะละเลิกการเสพอันไม่ควร

เพื่อบรรลุถึงความตระหนักและรู้แจ้ง

ข้ามอบกตัญญุตาแด่ท่านอาจารย์

ด้วยการตั้งจิตมั่น และภาวนาอีกครั้ง


ขอท่านได้โปรดประทานพรคุ้มครองข้า

โปรดดลให้ข้า ยาจกคนนี้

มั่นในศีลสันโดษตลอดไปด้วยเทอญ


เมื่อจิตยินดีแล้ว ท่านมิลาเรปะจึงขยับผ้าพันกายให้เรียบร้อย และรวบกิ่งไม้กำมือหนึ่ง เดินกลับถ้ำ ครั้นมาถึงภายในถ้ำ ต้องตกใจกับการเผชิญอสูรซึ่งมีใบหน้าดุร้ายและดวงตากลมใหญ่ ๕ ตน ตนหนึ่งกำลังนั่งร่ายมนต์อยู่บนที่นอนของท่าน อสูรตนที่สองกำลังฟังคำร่ายมนต์ของอสูรตนแรก ตนที่สามและสี่กำลังประกอบอาหาร และอสูรตนที่ห้ากำลังพลิกดูสมุดคัมภีร์ของท่าน

"นี่ต้องเป็นการปรากฏฤทธิ์ของเจ้าที่ซึ่งไม่ชอบข้าแน่ ๆ " ท่านคิด "แม้ว่าข้าจะจำศีลอยู่ที่ถ้ำนี้มานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางเลย" เมื่อคิดดังนั้น ท่านมิลาเรปะจึงขับขาน "บทเพลงสรรเสริญเจ้าที่แห่งหุบเขาอัญมณีศิลาแดง"


ณ สันโดษสถาน อันเป็นที่พำนักของข้าแห่งนี้

คือสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงโปรด

คือที่อาศัยของผู้บรรลุ

คือที่หลีกลี้อันข้าอยู่อย่างสันโดษ


เหนือหุบเขาอัญมณีศิลาแดง

เมฆขาวเลื่อนลอยล่อง

ต่ำลงไปเบื้องล่าง

แม่น้ำซางไหลเอื่อย

เบื้องกลางหว่างท้องฟ้าและสายน้ำ

นกแร้งบินโฉบวนเวียน

ฝูงผึ้งระเริงรื่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้

ฝูงวิหคบินโฉบไปมาบนคาคบ

ส่งเสียงประสานเป็นเพลงกลางอากาศ


ณ หุบเขารัตนชาดแห่งนี้

ฝูงนกกระจอกน้อยฝึกบิน

หมู่วานรโลดโผนกระโจนคล่อง

สิงห์สาราสัตว์ทะยานไปทั่ว


ข้ากำลังฝึกโพธิจิตทั้งสอง[6]

และจดจ่อในสมาธิ

เทพ อสูร แลปีศาจทั้งหลาย

ท่านล้วนเป็นมิตรแห่งข้า มิลาเรปะ

ขอเชิญดื่มน้ำทิพย์แห่งกรุณา

จากนั้นเชิญพวกท่านกลับสู่นิวาสถานของท่านเถิด


แต่อสูรทั้ง ๕ ยังคงอยู่ จ้องเขม็งมายังท่านมิลาเรปะ อสูรตนแรกเริ่มแสดงใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว ตนที่สองเริ่มแยกเขี้ยวยิงฟัน อสูรตนที่สามเปล่งเสียงหัวเราะสยดสยองดังลั่น อสูรทั้งหลายพยายามหลอกหลอนให้ท่านเกิดความกลัว

ท่านมิลาเรปะรู้เท่าทันความต้องการของเหล่าอสูร จึงเพ่งสมาธิให้เกิดความน่าเกรงขาม และบริกรรมคาถาอย่างเคร่งขลัง แต่เหล่าอสูรก็ยังไม่ยอมไป ท่านจึงหันมาแสดงธรรมด้วยจิตอันเปี่ยมด้วยความกรุณา แต่กระนั้นอสูรทั้งหมดก็ยังคงอยู่

ในที่สุดท่านจึงเปรยขึ้นว่า "เพราะคำสอนอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาของท่านอาจารย์มาร์ปะ ข้าจึงได้ตระหนักว่าสรรพสัตว์และปรากฏการณ์ทั้งหมดล้วนก่อขึ้นจากจิตของเรานี่เอง จิตเดิมนั้นโปร่งใสด้วยความว่าง ใยข้าช่างโง่เขลาที่คิดพยายามขับไล่ร่างปรากฏของเหล่าอสูร"


ดังนั้น ท่านจึงขับคีตาบทใหม่ชื่อว่า "บทเพลงแห่งความตระหนักรู้" ด้วยอารมณ์อันห้าวหาญ


ขอน้อมคารวะท่านอาจารย์มาร์ปะ

ผู้เป็นเลิศแห่งการแปล[7]

ผู้ชนะมารทั้ง ๔[8]


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งนางสิงห์หิมะ ดาร์เซ็น คาร์โม

ปราณโคจรทั้งสาม[9]ของข้าบริบูรณ์แต่ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในถ้ำ

วัยเยาว์ ข้าเฝ้ามองหนทาง

วัยฉกรรจ์ ข้าพำนักอยู่บนภูเขาสูง

แม้ลมพายุจากยอดเขาหิมะจะกราดเกรี้ยวรุนแรง

ข้าก็ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง

แม้หน้าผาจะสูงชันและเต็มไปด้วยภยันตราย

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งพญาครุฑ

ปีกและขนของข้าเจริญแต่ครั้งยังอยู่ใต้เปลือกไข่

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในรัง

วัยเยาว์ ข้าเฝ้ามองหาทาง

วัยฉกรรจ์ ข้าโบยบินอยู่บนฟากฟ้า

แม้ท้องฟ้าจะสูงและกว้างไกล

ข้าก็ไม่หวาดหวั่น

แม้หนทางจะแคบและสูงชัน

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรแห่งเจ้ามัจฉา ยาเชน โยร์โม

ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา ดวงตาข้ากลอกกลิ้ง

วัยทารก ข้านิทราอยู่ในกลุ่ม

วัยเยาว์ ข้าหัดว่ายตามสายธาร

วัยฉกรรจ์ ข้าแหวกว่ายกลางสมุทร

แม้คลื่นลมจะแรงและน่ากลัว

ข้าก็ไม่หวั่นพรั่นใจ

แม้ตะขอเบ็ดเรียงรายรอบ

แต่ข้าก็ไม่กลัว


อันตัวข้า

ในนามบุตรของลามะแห่งนิกายกาจู

ศรัทธาเปี่ยมแต่ครั้งข้าอยู่ในครรภ์มารดา

วัยทารก ข้าเข้าสู่ประตูแห่งพระธรรม

วัยเยาว์ ข้าศึกษาพระสูตร

วัยฉกรรจ์ ข้าถือสันโดษอยู่ในถ้ำ

แม้ภูติผี ปีศาจ แลอสูรจะปรากฏเป็นทวี

ข้าก็ไม่ครั่นคร้าม


กรงเล็บของสิงห์หิมะไม่เคยหนาวแข็งติดกัน

เพราะชื่อว่าเป็นพญาราชสีห์ย่อมเพียบพร้อมด้วยพลังทั้ง ๓

พญาครุฑย่อมมิอาจล่วงหล่นจากฟากฟ้า

หากเป็นเช่นนั้น คงถูกเย้ยหยัน

เหล็กกล้าย่อมมิอาจกระเทาะด้วยศิลา

หากเปราะเช่นนั้น จะคงเป็นโลหะได้อย่างไร

ตัวข้า มิลาเรปะ

ย่อมไม่หวาดกลัวต่ออสูรและภูติพราย

หากข้าประหวั่นพรั่นพรึงเพราะถูกหลอกหลอน

ยังจะมีประโยชน์อันใดต่อทางรู้แจ้งของข้าอีก


พวกเจ้าเหล่าปีศาจ เปรต อสุรกาย

ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม

ข้าขอต้อนรับพวกเจ้าวันนี้

ข้ายินดีต่อการปรากฏของพวกเจ้า

ข้าจะสวดมนต์ให้พวกเจ้า

จงอยู่เถิด อย่ารีบร้อนจากไปไหน

เราจะได้สนทนาและหยอกเย้ากัน

อยู่สักคืนหนึ่งก่อนเถอะ

เราจะได้ควานหามนตร์ดำในธรรมะ

แล้วดูว่าฝ่ายไหนจะสัมฤทธิ์กว่า

พวกเจ้ามาเยือนข้า

ด้วยเจตนาหลอกหลอนข่มขู่

ฉะนั้น หากพวกเจ้ารีบจากไปก่อนงานสำเร็จ

พวกเจ้าคงต้องละอายและอัปยศอดสู


ความกล้าหาญของท่านมิลาเรปะได้ถูกปลุกขึ้น ท่านปรี่เข้าใส่อสูรทั้ง ๕ โดยทันใด เหล่าอสูรหดตัวถอย กลอกกลิ้งดวงตาอย่างผิดหวัง ตัวสั่นด้วยความกลัว ร่างของอสูรทุกตนลอยหมุนวนขึ้น และประกอบรวมกันเข้าเป็นร่างเดียวแล้วหายวับไป

ท่านมิลาเรปะคิด "นี่คือพญามาร ชื่อวินายักก์ เป็นปีศาจร้ายที่คอยหาโอกาสก่ออุปสรรครังแกผู้คน พายุที่โหมกระหน่ำอย่างแรงเมื่อครู่ ย่อมเป็นฝีมือของปีศาจตนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นเพราะความกรุณาของท่านอาจารย์มาร์ปะโดยแท้ ข้าจึงปลอดภัยจากพญามาร"


จากเหตุการณ์นี้ ทำให้โยคีมิลาเรปะประสบความก้าวหน้าอย่างมากทางจิตวิญญาณอีกขั้นหนึ่ง

ตำนานการปราบปีศาจวินายักก์ของท่านมิลาเรปะตอนนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ๓ ชื่อ ได้แก่

๑. "หนทาง ๖ ประการยามครุ่นคำนึงถึงท่านอาจารย์"

๒. "เรื่องเล่าจากหุบเขาอัญมณีศิลาแดง"

และ ๓. "เรื่องท่านมิลาเรปะเก็บกิ่งไม้"



[1] มหามุทรา (Mahamudra) : เป็นแนวทางเจริญสมาธิเพื่อเข้าถึงสุญตา (ความว่าง) ของพุทธศาสนาฝ่ายตันตระยาน

[2] ท่านมาร์ปะ เป็นอาจารย์ของโยคีมิลาเรปะ

[3] ท่านมิลาเรปะ มีฉายาว่า หมอผีผู้วิเศษ เพราะท่านเคยศึกษาวิชาเวทมนต์จนมีอาคมแก่กล้า และเคยใช้เวทมนต์ไปในทางที่ผิด

[4] โลกธรรม ๘

[5] ฑากินี (Dakini) คือ เทพธิดาซึ่งคอยคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

[6] โพธิจิตทั้ง ๒ ฝ่าย ได้แก่ ๑.โพธิจิตฝ่ายอธิษฐาน และ ๒.โพธิจิตฝ่ายปฏิบัติ

[7] อาจารย์มาร์ปะ เป็นนักแปลผู้มีความสามารถ

[8] มารทั้ง ๔ หรือ อุปสรรค ๔ ได้แก่ ความเจ็บป่วย การหยุดชะงัก ความตาย และความอยาก

[9] ช่องปราณทั้ง ๓ ช่อง