Nov 11, 2009

ตอนที่ ๒ : เส้นทางสู่ขุนเขาลาชิ

........................

ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

เมื่อครั้งมหาโยคีมิลาเรปะ ขณะจำศีลถือสันโดษอยู่ในถ้ำ ณ หุบเขาอัญมณีศิลาแดง ท่านดำริขึ้นว่า “ถึงเวลาที่ข้าควรเดินทางไปปฏิบัติธรรมและจำศีลที่ลาชิ ขุนเขาหิมะ ตามคำสั่งของท่านอาจารย์มาร์ปะแล้ว” ดังนั้น ท่านจึงออกเดินทาง

ระหว่างการจาริกสู่ขุนเขาลาชิ ท่านมิลาเรปะผ่านหมู่บ้าน ยานอนซาร์มะ ซึ่งกำลังมีงานเลี้ยงฉลองกันอยู่ ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นกลางงานฉลองว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ได้มีมหาโยคีรูปหนึ่งนามว่า มิลาเรปะ จำศีลอยู่ตามถ้ำในเทือกเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ท่านบำเพ็ญตบะด้วยความเพียรเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมอันสูงสุด พวกท่านเคยได้ยินนามโยคีมิลาเรปะกันบ้างหรือไม่”

ขณะที่กำลังมีการกล่าวขานถึงโยคีเรืองนามท่านนั้น พลันท่านมิลาเรปะก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านงานเลี้ยง หญิงสาวในชุดอาภรณ์สวยงามนางหนึ่งนามว่า เลเซบุม ได้เชื้อเชิญนักพรตแปลกหน้าและถามว่า “ท่านเป็นใครและกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”

ท่านตอบว่า “แม่หญิง เราเป็นโยคี นามว่ามิลาเรปะ เรามาที่นี้ เพื่อขอบิณฑบาตอาหาร”

“ข้ายินดีที่จะถวายอาหารแก่ท่าน ว่าแต่ท่านคือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

“ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะหลอกลวงเจ้า” มิลาเรปะตอบ

หญิงสาวแสนจะปลาบปลื้มยินดี จึงวิ่งเข้าไปในบ้านและประกาศแก่ทุกคนว่า “ท่านโยคีผู้ทรงศีล ซึ่งพวกท่านกำลังกล่าวขานถึงด้วยความชื่นชมนับถือ บัดนี้ ท่านได้มาปรากฏกายอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว”

ชาวบ้านที่อยู่ในงานเลี้ยงทุกคน วิ่งกรูกันออกมาที่ประตู บางคนน้อมตัวลงกราบไหว้ บางคนซักถามคำถามต่าง ๆ นานา ตอนนี้ทุกคนต่างมั่นใจแล้วว่า โยคีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา คือมหาโยคีมิลาเรปะจริง ๆ จึงเชื้อเชิญท่านด้วยความนับถือเลื่อมใส และจัดหาอาหารมาถวาย

หญิงเจ้าของบ้านชื่อชินดอร์โม ได้ถามท่านว่า “ท่านโยคีผู้น่าเลื่อมใส ท่านกำลังจะเดินทางไปยังที่ใดเจ้าคะ”

“เรากำลังจาริกไปยังลาชิ ซึ่งเป็นเทือกเขาแห่งหิมะ เพื่อปฏิบัติธรรม” ท่านตอบ

“หากท่านจะกรุณาพวกเรา ได้โปรดพักค้างแรมที่ เดรลูน จูมู และสวดมนต์ปัดรังควานให้แก่สถานที่แห่งนั้นด้วยเถิด พวกเราจะจัดเตรียมอาหารอย่างดีเลิศตามที่ท่านต้องการมาถวาย”

ท่ามกลางแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านหลังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อว่า ชาจา กูนา กล่าวขึ้นว่า “หากท่านโยคีจะกรุณาพำนักค้างแรมที่หุบเขาเดรลูน จูมู เพื่อปราบปีศาจร้าย ข้ายินดีเสนอตัวเป็นผู้ช่วยของท่าน”

ชายอีกคนหนึ่งกล่าวตาม “นับเป็นความโชคดีของพวกเราเหลือเกิน ที่จะมีมหาโยคีมาพำนักอยู่กับพวกเราด้วย ข้ามีไร่ปศุสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถูกเหล่าปีศาจและอสูรร้ายรังควาญหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน พวกมันดุร้ายเสียจนตัวข้าไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ไร่ปศุสัตว์ของตัวเองอีกต่อไป ขอร้องท่านโยคีโปรดกรุณาไปเยี่ยมไร่ปศุสัตว์ของข้าสักครั้งด้วยเถิด”

ชาวบ้านทุกคนในที่นั้น พากันก้มลงกราบไหว้และอ้อนวอนขอให้ท่านมิลาเรปะไปที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนั้น ท่านตอบว่า “ เรายินดีไปที่ไร่นั้น มิใช่เพราะเพื่อไร่ปศุสัตว์ของท่าน แต่เพื่อบูชาท่านอาจารย์ของเราเอง”

พวกชาวบ้านรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ชายคนหนึ่งประกาศขึ้นว่า “เอาละ พวกเราจงไปจัดหาอาหารอย่างดี และเตรียมสัมภาระให้พร้อมเพื่อการเดินทางได้แล้ว”

ท่านมิลาเรปะเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ เราเป็นผู้แสวงสันโดษ เคยชินกับการอยู่คนเดียว เราไม่ต้องการผู้ร่วมเดินทาง ทั้งไม่ต้องการอาหารชั้นเลิศแต่ประการใด เราขอขอบคุณต่อน้ำใจของพวกท่าน แต่เราต้องการเดินทางไปยังไร่ปศุสัตว์นั้นเพียงลำพังในช่วงแรก หลังจากนั้น พวกท่านค่อยไปสมทบดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางไปถึงเชิงเขาเดรลูน จูมู เหล่าปีศาจที่สิงสถิตย์อยู่ในบริเวณนั้น พากันออกมาหลอกหลอนท่าน ใช้ฤทธิ์สร้างภาพหลอนต่าง ๆ เช่น ทำให้ยอดภูเขาแทงสูงขึ้นจนดูเหมือนทะลุถึงท้องฟ้า ทำให้ภูเขาทั้งเทือกสั่นไหวและแกว่งโยนไปมา ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามสนั่นอย่างโกรธเกรี้ยว ท้องฟ้ามืดทมึน แสงฟ้าผ่าลงมาเป็นเส้นแปลบปลาบฟาดใส่โดยรอบ ภูเขาทั้งสองด้านของหุบเขาเดรลูน จูมู สั่นสะเทือนและเลื่อนแยกออกจากกัน แม่น้ำที่เคยไหลผ่านหุบเขาอย่างสงบ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลทะลักทำลายท่วมตลิ่งทั้งสองฝั่ง ทำให้หุบเขากลายเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ไปในทันที ทะเลสาบนี้ต่อมาภายหลัง ชาวบ้านเรียกขานกันว่า ทะเลสาบอสูร

ท่านมิลาเรปะลุกขึ้นประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำที่ไหลท่วมหุบเขาจึงได้ลดถอยลงไป ท่านเดินไปยังที่ราบเบื้องต่ำของหุบเขา เหล่าปีศาจยังคงสำแดงฤทธิ์อยู่อย่างต่อเนื่อง ภูเขาหลายลูกสั่นสะเทือนเลือนลั่น ก้อนหินจากยอดเขาแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย สาดกลิ้งลงมาเหมือนห่าฝนใหญ่ ทันใดนั้นเอง เทพธิดาแห่งเนินเขาได้เนรมิตเส้นทางที่ปลอดภัยให้ท่านเดิน เส้นทางนี้คดเคี้ยวไปตลอดสันเขาแลดูเหมือนทางงูเลื้อย ต่อมาชาวบ้านเรียกเส้นทางเดินนี้ว่า สันเขาฑากิณี

เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปนี้ เป็นเพียงการพิชิตปีศาจที่มีฤทธิ์ระดับต่ำเท่านั้น พวกปีศาจและอสูรที่ดุร้ายและมีฤทธิ์เดชมากกว่ากำลังโกรธเกรี้ยวต่อความผ่ายแพ้ของปีศาจชั้นต่ำ พวกปีศาจไปชุมนุมกันที่ปลายทางของสันเขาฑากิณี รวมพลังกันเพื่อสำแดงฤทธิ์ระลอกใหม่ หวังทำร้ายและหลอกหลอนท่านมิลาเรปะ แต่ท่านได้กำหนดจิตเป็นสมาธิ และลุกขึ้นยืนประกอบท่ามุทราศักดิ์สิทธิ์อีกท่าหนึ่ง เพื่อกำราบฤทธิ์ของเหล่าปีศาจ ทำให้ภาพหลอนของปีศาจหายวับไปในพริบตา จากนั้นท้องฟ้าก็เปิดและกลับมาสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง ศิลาก้อนใหญ่ที่ท่านมิลาเรปะยืนประกอบมุทรา ได้ปรากฏรอยเท้าของท่านประทับอยู่บนนั้นด้วย


ต่อจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้นั่งลงบนยอดเนินเขา เพื่อเจริญสมาธิแห่งมหาการุณยธรรม ความกรุณาอย่างลึกซึ้งต่อเหล่าสรรพสัตว์ได้ผุดขึ้นในจิตของท่าน ประสบการณ์นี้ทำให้ท่านได้ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต่อมาภายหลัง สถานที่แห่งนี้ได้ถูกขนานนามจากชาวบ้านว่า “เนินเขาแห่งความกรุณา” หลังจากนั้น ท่านมิลาเรปะได้เดินลงไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่มีน้ำใสสะอาด และเจริญธาราโยคะ โดยกำหนดจิตเป็นสมาธิ จดจ่อกระแสน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่อง

ล่วงเข้าวันที่ ๑๐ ในเดือนฤดูใบไม้ร่วง ปีเสือไฟ ปีศาจจากเนปาลตนหนึ่ง นามว่า “ภาโร” ได้นำกองทัพปีศาจและอสูรร้ายจำนวนมากมายังหุบเขาลุ่มแม่น้ำ เพื่อทำร้ายท่านมิลาเรปะ เหล่าอสูรเริ่มข่มขวัญท่านด้วยภาพลวงตา ทำให้เทือกเขาทั้งหมดสั่นไหวและถล่มทลายลงมา จากนั้นจู่โจมด้วยสายฟ้าและอาวุธต่าง ๆ ที่พุ่งถาโถมเข้าใส่ท่านราวกับพายุ พวกมันกรีดเสียงคำรามดังสนั่น “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ” และปรากฏรูปอันน่าเกลียด น่าสยดสยอง ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ล่องลอยไปทั่วหุบเขา

เมื่อท่านมิลาเรปะสัมผัสรู้ถึงเป้าประสงค์ของกองทัพปีศาจร้าย ท่านจึงขับลำนำบทที่ชื่อว่า “สัจจะแห่งกรรม” เพื่อเป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ

ข้าขอน้อมคารวะท่านอาจารย์
และขอบูชาอาจารย์ผู้ประเสริฐทุกท่านเป็นที่พึ่ง

ท่ามกลางภาพหลอน และมายาการทั้งปวง
อันปีศาจแลอสูรชายหญิง
เนรมิตขึ้นอย่างน่าสยดสยอง
เหล่าผีเปรต อาซามะ ผู้น่าสังเวช
พวกเจ้ามิอาจหลอกหลอนข้าได้ดอก
ด้วยเหตุอันเกิดแต่กรรมในอดีตของพวกเจ้า
จึงนำเจามากำเนิดในร่างปีศาจร้าย
ด้วยจิตและกายอันพิกลพิการเช่นนี้
เจ้าจึงท่องไปอย่างผู้หลงทาง

จิตอันประกอบด้วยเพลิงกิเลส
ชักนำเจ้าสู่ความโกรธเกรี้ยวดุร้าย
โทสาคติครอบงำหัวใจและความคิดของเจ้าสิ้น
ฉะนั้น วจีกรรมและกายกรรมของเจ้า
จึงฉายโชนไปแต่เพียงการทำลายล้าง
ผ่านเสียงโหยหวนจากวาจาของเจ้า
“ฆ่ามันเสีย ฉีกเนื้อมันออกเป็นชิ้น ๆ”

ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ ผู้ไม่ติดยึดในทวิภาค
ข้ารู้ว่าสรรพสิ่งล้วนก่อจากจิต

ข้าเยื้องย่างองอาจดุจสีหราชา
ข้าปราศจากความกลัวดั่งนักรบผู้กล้า
กายของข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธกาย
คำพูดของข้าเป็นสัจจะเดียวกับวจีขององค์ตถาคต
จิตข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับโพธิจิต
ข้าย่อมเห็นแจ้งถึงธรรมชาติอันว่างเปล่าของอายตนะ ๖
ฉะนั้น โยคีมิลาเรปะ
จึงไม่ใส่ใจการหลอกหลอนของพวกเจ้า

ด้วยกฏแห่งเหตุและผล
ด้วยกฏแห่งอิทัปปัจจยตา
ผู้ใดก่อเหตุเช่นไร ย่อมต้องรับผลเช่นนั้น
ผู้ประกอบอกุศลกรรม ย่อมต้องทนทุกขเวทนา
ตามกฏแห่งกรรม

เนื่องเพราะพวกเจ้าทุกข์ทรมานด้วยกรรมที่เจ้าก่อ
พวกเจ้าจึงไม่อาจเข้าถึงความจริงแท้
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ
จะเทศน์ธรรมเพื่อสอนพวกเจ้า

สัตว์โลกทั้งหลาย
ล้วนเปรียบเป็นบิดาและมารดาของข้า
การทำร้ายผู้ควรกตัญญู
ย่อมเป็นสิ่งโง่เขลาเบาปัญญา

พวกเจ้าจะพบปีติและเบิกบาน
หากพวกเจ้าเพิกถอนมิจฉาทิฏฐิเสียได้
พวกเจ้าจะพบแต่โชควาสนาอันพึงประสงค์
หากพวกเจ้าถือตามกุศลกรรม ๑๐
จงจดจำถ้อยคำของข้า
จงใคร่ครวญหาความหมาย
จงพยายามเคี่ยวกรำตน
พิจารณาอย่างถ้วนถี่
ถึงนัยยะอันแท้จริงในธรรมเทศนาของข้า

เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์จบ เหล่าปีศาจพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ย “บทเพลงเพ้อเจ้อของเจ้า ไม่อาจหลอกลวงข้าได้หรอก พวกข้าจะไม่ยุติการหลอกหลอนเจ้า” พูดจบเหล่าปีศาจก็รวมพลังกันแสดงอภินิหารให้น่ากลัวเพิ่มขึ้นอีก

ท่านมิลาเรปะพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเหล่าอสูร ภูติและผีเปรต จงตั้งใจฟังให้ดี เนื่องเพราะมหากรุณาคุณของท่านอาจารย์มาร์ปะ เราจึงสำเร็จเป็นโยคีผู้ตระหนักรู้ในความจริงสูงสุด สำหรับตัวเราแล้ว อุปสรรคและความทรมานอันเกิดจากการกระทำของพวกเจ้า นับเป็นเกียรติและนำความยินดี ยิ่งเจ้าหลอกหลอนเรามากเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใกล้เส้นทางแห่งพระโพธิสัตว์มากขึ้นเท่านั้น

บัดนี้ พวกเจ้าจงตั้งใจฟังธรรมคีตาว่าด้วย “เครื่องประดับ ๗ ประการ “

ข้าขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ

ตัวข้า มิลาเรปะ
ผู้เห็นทะลุถึงความจริงแท้ของชีวิต
ขอขับคีตาแห่งเครื่องประดับทั้ง ๗

พวกเจ้า เหล่าอสูร ผีเปรต และภูติพราย
จงเอียงหูของเจ้าเข้ามาใกล้
จงตั้งใจฟังธรรมบรรยายของข้าให้ดี

ใจกลางขุนเขาแห่งจักรวาล
คือที่ตั้งแห่งยอดพระสุเมรุ
ฟ้าครามส่องสว่างคลุมแผ่นดินมนุษย์ ณ เบื้องทิศใต้
เวหาหาวงามพิสุทธิ์เหนือพื้นโลก
สีฟ้าจากสรวงสวรรค์คือเครื่องประดับอันงามงด

เหนือยอดพฤกษ์วิเศษแห่งเขาพระสุเมรุ
พระอาทิตย์และพระจันทร์
แผ่รัศมีส่องคลุมทั่วทวีปทั้ง ๔
พญานาคราชสำแดงฤทธิ์ด้วยเมตตา
สาดสายฝนฉ่ำเย็นจากฟ้ากว้าง
คือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่พิภพ

ละไอหมอกคลุมทั่ว
จากพื้นสมุทรจรดสวรรค์
แหล่งกำเนิดคือหมู่มวลเมฆ
คือมูลเหตุแห่งความแปรเปลี่ยนของสรรพธาตุ

สายรุ้งแห่งคิมหันตฤดู
ทอดโค้งเหนือทุ่งกว้าง
พาดสายอ่อนละมุนเหนือหุบดอยและขุนเขา
สายรุ้งคือความงามอันเป็นเครื่องประดับแก่ผืนโลก

ยามฝนโปรยสายสู่ห้วงมหาสมุทรแห่งทักขิณาทิศ
พฤกษานานาพรรณเปล่งดอก ชูช่อ ออกผล
เป็นรางวัลแด่สรรพชีวิตทั่วหล้า
เป็นความงาม เป็นเครื่องประดับอันวิเศษ

ตัวข้า โยคีผู้ปรารถนาสันโดษ
ภาวนายังวิเวกด้วยจิตว่าง
สงัดอยู่ในอำนาจความสงบ
พวกเจ้าเหล่าปีศาจผู้ใช้ฤทธิ์ในทางที่ผิด
สำหรับข้า โยคีมิลาเรปะ
เวทมนต์แห่งอสูร และฤทธิ์ภูติพราย
คือความงาม คืออาภรณ์ประดับสำหรับข้า

พวกเจ้า เหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย
จงเข้ามาใกล้ และตั้งใจฟัง
จงจำไว้ให้ดีว่าข้าคือโยคีมิลาเรปะ
หัวใจข้าผลิบานด้วยดอกไม้แห่งความรู้แจ้ง

ข้าขับขานคติธรรมด้วยเสียงกังวานใส
ด้วยถ้อยความอันเป็นธรรมสัจจ์
ด้วยการุณยจิตอันข้ามีต่อพวกเจ้า
ข้าขอมอบคำสอนนี้แก่พวกเจ้า

หากแม้นหัวใจของพวกเจ้า
มีหน่อเนื้อแห่งโพธิจิต
เจ้าจักสามารถชนะกิเลสด้วยตัวเจ้าเอง
เจ้าจะพบสุขและทางอิสระ
โดยสลัดทิ้งซึ่งอกุศลกรรมทั้ง ๑๐ เสีย

หากเพียงพวกเจ้าเจริญตามคำสอนนี้
หนทางบรรลุธรรมรอเจ้าอยู่
หากเพียงพวกเจ้าปฏิบัติธรรมตั้งแต่บัดนี้
ความสุขอันเป็นนิรันดร์จักเป็นของเจ้า


เมื่อท่านมิลาเรปะขับร้องธรรมคีตาจบลง ปรากฏว่าปีศาจหลายตนยุติการสำแดงฤทธิ์ หันมาเลื่อมใสศรัทธาท่าน ปีศาจตนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ ท่านก็คือมหาโยคีผู้เปี่ยมด้วยพลังอันน่าเลื่อมใส หากปราศจากคำสอนเกี่ยวกับความจริงแท้ ซึ่งท่านกรุณาสาธยายแก่พวกข้า พวกข้าคงไม่มีวันพบทางสว่างแห่งความเข้าใจแจ้ง นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่หลอกหลอนทำร้ายท่านอีก แต่ข้ายังคงปรารถนาที่จะได้รับคำสอนเกี่ยวกับเรื่องกฏแห่งกรรมจากท่านต่อ ข้ารู้ตัวดีว่า ปีศาจและอสูรอย่างพวกข้า มีข้อจำกัดทางสติปัญญา ทั้งวิชชาและอวิชชา จิตของพวกเราจมปลักอยู่ในหนองบึงแห่งกิเลสตัณหา ขออ้อนวอนท่านโยคี โปรดมอบคำสอนที่มีความหมายลึกซึ้งมีประโยชน์และเข้าใจง่าย เพื่อให้พวกข้าจะได้ปฏิบัติตามด้วยเถิด

ท่านมิลาเรปะ จึงเทศนาโศลกที่ว่าด้วย “คีตาแห่งสัจจะทั้ง ๗“ เป็นคำสอนแก่เหล่าปีศาจ

ขอน้อมบูชาท่านอาจารย์มาร์ปะ
นักแปลผู้ยิ่งใหญ่
อธิษฐานขอท่านช่วยนำข้าสู่โพธิจิต

แม้นธรรมคีตาจักบรรเลงได้ไพเราะเพียงใด
หากผู้ฟังมิอาจเข้าถึงความจริงแห่งถ้อยความ
คีตานั้นจักเป็นได้เพียงท่วงทำนองสามัญ

ถ้อยภาษิตใดไม่พ้องด้วยพระธรรม
ต่อให้เขียนด้วยคารมคมคายเพียงใด
ภาษิตนั้นจักเป็นได้เพียงเสียงสะท้อนซึ่งผ่านไปในอากาศ

หากไม่ปฏิบัติธรรม
ต่อให้ยกคัมภีร์ใดมากล่าวอ้าง
ผู้นั้นจักเป็นได้เพียงผู้หลอกลวงตน

การปลีกวิเวกจะเป็นเพียงคุกจองจำตัวเอง
หากไม่ปฏิบัติตามคำสอนที่อาจารย์ถ่ายทอดให้
ความเพียรอย่างเหนื่อยยากจะกลายเป็นการทรมานตน
หากละเลยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

สำหรับผู้ไม่รักษาศีล
การสวดอธิษฐานจักเป็นเพียงคำเพ้อเจ้อ
และสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ตนเที่ยวสั่งสอนผู้อื่น
วาทกรรมนั้นถือเป็นคำลวงโลก

ละเว้นการทำชั่วเสีย บาปจะลดลง
เพียรทำความดี บุญจะเพิ่มปรากฏ
จงรักษาสันโดษ และหมั่นภาวนา
พูดมากไปนั้นไร้ประโยชน์
จงฟังสิ่งที่ข้าสอน
และปฏิบัติธรรมเสียแต่เดี๋ยวนี้

เมื่อท่านมิลาเรปะเทศน์เรื่อง “ความจริง ๗ ประการ” จบลง ปีศาจกลุ่มหนึ่งเกิดความเลื่อมใสยิ่ง พากันเข้ามากราบไหว้และเดินประทักษิณรอบตัวท่านเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นปีศาจส่วนใหญ่ได้พากันกลับไปที่อยู่ของตนแล้ว ยังคงเหลือแต่หัวหน้าปีศาจนาม ภาโร และสมุนที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งยังคงพยายามสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพลวงตาที่ชวนขนพองสยองเกล้า หลอกหลอนท่านมิลาเรปะต่อไป แต่ท่านกลับโต้ตอบพวกปีศาจกลุ่มนี้ ด้วยบทเพลงที่ชื่อว่า “ความจริงแห่งความดีและความชั่ว”

ข้าขอน้อมคารวะแทบเท้าท่านอาจารย์มาร์ปะผู้ประเสริฐ

พวกเจ้าเหล่าปีศาจร้าย
ความโกรธเกลียดยังครอบงำจิตใจเจ้าอยู่ใช่ไหม
ร่างอันใหญ่โตของเจ้า
แม้จะเหาะไปได้ไกลถึงขอบฟ้า
แต่จิตใจของพวกเจ้า
กลับเปี่ยมด้วยมิจฉาทิฏฐิ
พวกเจ้าแยกเขี้ยวเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน
แต่จงจดจำไว้เถิดว่า
ยามใดที่พวกเจ้าทำร้ายผู้อื่น
ทุกข์นั้นจักย้อนกลับคืนมาสู่พวกเจ้าเสมอ
กฏแห่งกรรม คือกฏแห่งความจริง
ไม่มีใครหนีกฏแห่งกรรมพ้นดอก
เจ้าคือผู้ก่อทุกข์แก่ตัวเจ้าเองเสมอ
พวกเจ้า เหล่าอสูรและภูติผีที่น่าสงสาร
พวกเจ้าล้วนว่ายวนอยู่ในบาปและความไม่รู้
ข้ารู้สึกสังเวชพวกเจ้ายิ่งนัก
เนื่องด้วยบาปที่พวกเจ้าก่อ
จิตของพวกเจ้าจึงดุร้ายและเกรี้ยวกราด
นับแต่พวกเจ้าเริ่มเข่นฆ่าทำร้าย
ลิ้นของเจ้าจึงอร่อยในรสเลือดและเนื้อสด
เพราะพวกเจ้าเฝ้าแต่จะเอาชีวิตผู้อื่น
พวกเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหยอยู่เยี่ยงนี้

อกุศลกรรมชักนำพวกเจ้า
ดิ่งลึกลงสู่ความเลวทรามต่ำช้า
กลับตัวเถิดมิตรสหายของข้า
กลับตัวกลับใจจากกับดักแห่งอกุศลทั้งปวง
จงตั้งเจตนาเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้
อันพ้นไปจากความปรารถนาและความกลัวใด ๆ

เมื่อท่านมิลาเรปะขับคีตาว่าด้วยความจริงของกรรมดีและกรรมชั่วจบ เหล่าปีศาจร้ายยังคงพากันหัวเราะและพูดเยาะเย้ยท่านว่า “เจ้านักเทศน์จอมปลอมฝีปากกล้า สิ่งที่เจ้าสาธยายมาล้วนน่าประทับใจ แต่พวกข้าจะเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้าได้ปฏิบัติจนเข้าถึงความจริงดังว่าแล้ว”

ท่านจึงตอบกลับด้วยคีตาโศลกนี้ “ความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์”

ข้าคือโยคี ผู้เข้าถึงความจริงสูงสุด
ข้าเชื่อมั่น นับแต่ครั้งยังอยู่ในครรภ์มารดา
บนเส้นทางแห่งวัฏสงสารนี้
ข้าค่อย ๆ ชำระตนให้บริสุทธิ์
ด้วยสัญญาณและถ้อยคำที่มากความหมาย
ด้วยเมตตาจิตที่ไหลเลื่อนจากใจข้า
บัดนี้ ข้าจะขับขานคีตาจากแก่นธรรม

เพราะพวกเจ้าทำบาปไว้มาก
ดวงตาของเจ้าจึงขุ่นมัวและมืดบอด
หัวใจของพวกเจ้าเข้าไม่ถึงความจริงแท้
ปัญญาของพวกเจ้าไม่เข้าใจความหมาย
ดังนั้น จงตั้งใจฟังให้ดี
นี่คือทางลัดสู่ความจริง

พระสูตรบริสุทธิ์แต่โบราณ
อีกทั้งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่กาลก่อน
ล้วนตรัสถึงความจริงแห่งกรรมดังนี้
สัตว์โลกทั้งหลายล้วนผูกพันเป็นพี่น้อง
นี่คือความจริงแท้แห่งสายสัมพันธ์
ขยับเข้ามาใกล้ ๆ และจงตั้งใจฟัง
คำสอนแห่งกรุณาธรรม

ข้าคือโยคีผู้เคี่ยวกรำตนด้วยการปฏิบัติ
ข้ารู้ดีว่าอุปสรรคภายนอกทั้งหลายล้วนเป็นเพียงเงา
ภาพหลอนมายาทั้งปวงนั้นเล่า
ก็เป็นเพียงการเล่นกลของจิตอันไม่ปรากฏ
หากมองเข้าไปให้เห็นถึงธรรมชาติเดิมแท้ของจิต
ย่อมไร้แก่นสารและว่างเปล่า

จงเจริญภาวนาอย่างสงบ
ด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรมจากคุรุทุกท่านที่บรรลุแล้ว
และด้วยคำสอนของท่านนาโรปะ
จงใช้สัจธรรมอันอยู่ภายในองค์พระพุทธ
เป็นเครื่องเหนี่ยวนำจิตภาวนา

ข้าถ่องแท้ถึงความหมายที่ลึกซึ้งแห่งตันตระ
เนื่องเพราะอาจารย์ข้ามีวิธีการสอนที่ดี
พลังภายในของข้าบังเกิดขึ้นได้
เพราะข้าปฏิบัติโยคะแห่งการตื่นรู้
และอนุตตระโยคะแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อข้าหยั่งรู้ถึงปรมาณูภายในได้ทั่วแล้ว
ใยข้าต้องหวาดกลัวกับอุปสรรคมายาจากโลกภายนอกด้วยเล่า

พุทธาจารย์และมหาโยคีทั้งหลาย
ล้วนสอนตรงกันดังนี้
หากมีสติพิจารณาจิตอยู่ทุกขณะ
ความคิดปรุงแต่งจะอันตรธานไปสิ้น
ภายในมณฑลแห่งพระธรรมธาตุ
ไม่ปรากฏทุกข์ ทั้งก็ไม่มีผู้ทุกข์
จงเชื่อเถิดว่า
แม้นพระสูตรที่ละเอียดที่สุด
ก็มิได้สอนอะไรยากไปกว่านี้

เมื่อท่านมิลาเรปะสาธยายจบ หัวหน้าปีศาจและเหล่าสมุนที่ดุร้ายได้พากันบูชาหัวกระโหลกแก่ท่าน พร้อมกับก้มลงกราบแล้วเดินวนประทักษิณรอบตัวท่านหลายรอบ เป็นการแสดงความนับถือเลื่อมใส เหล่าปีศาจได้สัญญากับท่านว่าจะถวายอาหารแก่ท่านตลอดทั้งเดือน จากนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนรุ้งกินน้ำที่ค่อย ๆ จางไปจากขอบฟ้า

อรุณรุ่งวันใหม่ ปีศาจภาโรจากเมืองมอน ได้พาภูติสาวที่แต่งกายอย่างสวยงาม และบริวารอีกจำนวนหนึ่ง นำเมรัยใส่แก้วเจียรนัยพร้อมกับอาหารในถาดเงินมาถวายท่าน ทั้งยังสัญญาว่าจะปรนนิบัติรับใช้และเชื่อฟังท่านตลอดไป เหล่าปีศาจก้มลงกราบไหว้ท่านอีกหลายรอบ ก่อนที่จะพากันหายตัวไป ในจำนวนนี้ยังมีปีศาจตนหนึ่งชื่อว่า จาร์โป ทอนเดรม ซึ่งเป็นหัวหน้าของเทพหลายองค์รวมอยู่ด้วย

จากประสบการ์ครั้งนี้ทำให้ท่านมิลาเรปะได้รับความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ท่านพำนักอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือนอย่างเบิกบาน

วันหนึ่งท่านระลึกได้ถึงขุนเขาลาชิ สถานที่มีชื่อว่าน้ำบริสุทธิ์ จึงตัดสินใจออกเดินทาง ในระหว่างทาง ท่านเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ผ่านทุ่งกุหลาบซึ่งมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ใต้เชิงผา ท่านนั่งพักอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ พลันเทพธิดาหลายนางปรากฏตัวขึ้น พวกนางคารวะ และถวายเครื่องบูชาแก่ท่าน หนึ่งในเทพธิดาได้ประทับรอยเท้าสองรอยไว้ที่ก้อนหินนั้น ก่อนที่จะพากันเลือนหายไปเหมือนสายรุ้ง

ระหว่างทางต่อมา ท่านมิลาเรปะได้เผชิญการหลอกหลอนจากปีศาจท้องถิ่นอีกแห่งหนึ่ง เหล่าปีศาจได้ชุมนุมกันสำแดงฤทธิ์ สร้างภาพหลอนเป็นโยนีมหึมาขึ้นขวางทาง ท่านเพ่งจิตเป็นสมาธิ และประกอบท่ามุทรา เผยองคชาติที่ตั้งชูชัน แล้วย่างสามขุมต่อไปเบื้องหน้าอย่างมีสติ เดินผ่านปีศาจที่แปลงกายเป็นโยนี ๙ ตน จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีก้อนหินรูปร่างเหมือนช่องคลอดสตรีตั้งตระหง่านอยู่ ท่านมิลาเรปะนำศิลารูปองคชาติสอดแทงเข้าไปในช่องว่างของศิลารูปโยนี ทันใดนั้นภาพหลอนยั่วกามตัณหาที่เหล่าปีศาจสร้างขึ้นก็กระจายหายวับไปในอากาศ ต่อมาภายหลังสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า ลัดคุ ลันคุ

เมื่อท่านมิลาเรปะเดินทางมาได้ครึ่งทาง ปีศาจภาโรได้ย้อนกลับมาต้อนรับท่าน และได้จัดเตรียมธรรมาสน์ เพื่อให้ท่านนั่งสาธยายธรรมให้พวกตนฟัง ท่านจึงบรรยายเรื่องกรรมอย่างง่าย ๆ ที่ปีศาจสามารถเข้าใจได้ เมื่อเหล่าปีศาจฟังคำสอนจบ ต่างพากันหายตัวเข้าไปในก้อนหินก้อนใหญ่ตรงหน้า

ท่านมิลาเรปะมีความปีติอย่างยิ่ง จึงพำนักอยู่ที่ทุ่งนี้ต่ออีกหนึ่งเดือน จากนั้นจึงเดินทางย้อนกลับผ่านหมู่บ้าน ยานอน ซาร์มะ ที่ซึ่งชาวบ้านขอให้ท่านช่วยปราบปีศาจร้าย ท่านได้เล่าให้ชาวบ้านฟังว่า เหล่าปีศาจล้วนกลับตัวกลับใจหมดแล้ว และสถานที่แห่งนั้น บัดนี้เหมาะจะเป็นสถานสำหรับปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งอีกด้วย ท่านกล่าวว่าท่านจะกลับไปเจริญสมาธิ ณ สถานที่นั้นอีกในไม่ช้านี้ ชาวบ้านพากันกราบไหว้ท่านด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการจาริกสู่ขุนเขาลาชิของโยคีมิลาเรปะ