Nov 16, 2009

ตอนที่ ๓ : ธรรมโศลกจากเทือกเขาหิมะ

......................................

ขอน้อมบูชาอาจารย์ทุกท่าน

กิตติศัพท์การปราบปีศาจร้าย และข่าวการจาริกสู่ขุนเขาลาชิของโยคีมิลาเรปะ ได้ขจรไปทั่วหมู่บ้านยานอน ชาวบ้านทุกคนถวายอุปถัมภ์บริการแก่ท่านมิลาเรปะด้วยความเลื่อมใส ในจำนวนผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าเหล่านั้น มีหญิงสาวนางหนึ่งนามว่า วุรโม รวมอยู่ด้วย นางมีบุตรชายเล็ก ๆ คนหนึ่งชื่อ จูปุวะ ซึ่งนางตั้งใจไว้ว่าเมื่อเขาโตขึ้น นางจะยกให้เป็นศิษย์คอยรับใช้และศึกษาธรรมกับโยคีมิลาเรปะต่อไป

ชาวบ้านเชื้อเชิญให้ท่านมิลาเรปะพำนักอยู่ในหมู่บ้าน โดยมีนางชินดอร์โม หญิงเจ้าของบ้านเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ ท่านพำนักอยู่ในหมู่บ้านไม่นาน ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก จึงแจ้งชาวบ้านว่า ท่านต้องการกลับไปแสวงสันโดษ ณ ลาชิ ขุนเขาแห่งหิมะ

ชาวบ้านต่างช่วยกันพูดกับท่านว่า “ท่านโยคีที่เคารพ การที่พวกเราขอร้องให้ท่านพำนักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ตลอดช่วงฤดูหนาว มิใช่เพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง แต่เพื่อตัวท่านเองด้วย ท่านโยคีจะไปปราบปีศาจร้ายเมื่อใดก็ได้ เพียงขอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงก่อนเถิด ท่านค่อยเดินทาง” ลามะอาวุโสนามว่า ดุนปะ ชาจากุนะ และนางชินดอร์โม ช่วยกันอ้อนวอนว่า “ท่ามกลางฤดูอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ท่านจะต้องเผชิญความยากลำบากอย่างมากบนยอดเขาหิมะ ขอท่านเลื่อนการเดินทางออกไปจนผ่านพ้นฤดูหิมะก่อนเถิด”

การอ้อนวอนของชาวบ้านไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้ ดังที่ท่านกล่าวแก่ชาวบ้านต่อไปว่า “อันตัวเรานั้น เป็นหน่อเนื้อแห่งการสืบสายธรรมจากท่านนาโรปะ เราไม่เกรงกลัวความยากลำบากหรือลมพายุในหุบเขาหิมะ การพำนักถาวรอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับความตาย ท่านอาจารย์มาร์ปะพร่ำสอนเสมอว่าให้หลีกเลี่ยงการหมกมุ่นอยู่กับอบายบันเทิงใจ ให้หมั่นรักษาสันโดษ อุทิศตัวแก่การเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่อง”

เมื่อชาวบ้านได้รับรู้ถึงเจตนาอันแรงกล้าของท่าน จึงช่วยกันเตรียมการเดินทาง ท่านให้สัญญากับชาวบ้านว่า ท่านจะคอยต้อนรับผู้ที่จะเดินทางไปศึกษาธรรมะกับท่านตลอดช่วงฤดูหนาว ดุนปะ ชาจากุนะ นางชินดอร์โม และชาวบ้านอีก ๔ คน ช่วยกันแบกหามเสบียงอันประกอบด้วย แป้ง ข้าว เนื้อ ๑ ชิ้น เนย ๑ ก้อน และน้ำดื่ม พวกเขาเดินทางข้ามเนินเขาสู่ที่ราบสูง จนถึงถ้ำปราบอสูร อันเป็นสถานที่ท่านมิลาเรปะตั้งใจจะจำศีลอยู่เพียงลำพัง จากนั้นศิษย์ทั้ง ๖ คนจึงลากลับหมู่บ้าน

ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน หิมะตกลงมาอย่างหนัก พายุหิมะพัดแรงเสียจนพวกเขามองไม่เห็นทางเดิน และมองไม่เห็นกันและกัน ต่างร้องตระโกนหากันแต่ก็พลัดหลงทางกัน ทุกคนต้องค้างแรมในหุบเขาคืนหนึ่ง ก่อนจะกลับไปถึงหมู่บ้านอย่างทุลักทุเลในวันรุ่งขึ้น

พายุหิมะตกอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน ตลอด ๑๘ วัน การติดต่อระหว่างหมู่บ้านดริน กับ หมู่บ้าน ยานอน ถูกหิมะตัดขาดจากกันเป็นเวลาถึง ๖ เดือน ชาวบ้านพากันสันนิษฐานว่า โยคีมิลาเรปะคงต้องเสียชีวิตในพายุหิมะอันหนาวเหน็บแน่แล้ว จึงช่วยกันประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ดวงวิญญาณของโยคีที่พวกเขานับถือ

ล่วงเข้าเดือนสะกะ ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน บรรดาศิษย์ที่เลื่อมใสในโยคีมิลาเรปะ ช่วยกันแบกขวานและจอบเสียมเพื่อออกไปค้นหาศพของโยคี ขณะที่พวกเขากำลังนั่งพักเหนื่อยหลังจากเดินทางออกจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก พวกเขามองเห็นเสือดาวหิมะตัวหนึ่งกำลังเหยียดตัวและอ้าปากหาวอยู่อีกฟากของหุบเขา เสือดาวหิมะตัวนั้นกำลังไต่ขึ้นไปนั่งบนหน้าผาหิน พวกเขาจ้องมองดูอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสือดาวหิมะหายตัวไป ทุกคนมั่นใจว่าคงไม่มีวันพบศพของโยคี เพราะคงถูกเสือดาวกินเป็นอาหารไปแล้วแน่ กระนั้น พวกเขาก็ยังมีความหวังว่า "แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ ที่พวกเราอาจจะพบเศษผ้าพันกาย หรือเส้นผมของท่านโยคีมิลาเรปะ" ความคิดเช่นนี้ทำให้พวกเขาร่ำไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้าอาลัย

ทันใดนั้น พวกเขาสังเกตเห็นรอยเท้ามนุษย์หลายรอยอยู่ข้างรอยเท้าเสือดาว (ต่อมาภายหลัง ช่องทางเดินแคบ ๆ บริเวณที่พวกเขาเห็นเสือดาวหิมะปรากฏ ได้ถูกเรียกขานกันว่า "เส้นทางเสือดาว" ) รอยเท้าคู่ขนานของมนุษย์และเสือดาว ทำให้บรรดาศิษย์ต่างฉงนสงสัย ถึงกับรำพึงว่า "นี่เป็นเวทย์มนต์ของเทพหรือปีศาจกันแน่" แต่พวกเขายังคงค้นหาต่อไปจนเดินมาถึงทางเข้าถ้ำปราบอสูร พวกเขาได้ยินเสียงร้องเพลงดังแว่วออกมาจากในถ้ำ จึงถามกันและกันว่า "หรือว่ามีนายพรานบังเอิญผ่านมา จึงแบ่งอาหารให้ท่านโยคี หรือว่าท่านยังชีพจากเศษเนื้อที่เสือสิงห์ล่าและกินเหลือ ท่านจึงมีชีวิตรอดมาได้"

ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังเดินเข้าไปในถ้ำ ท่านมิลาเรปะทักทายด้วยเสียงดุ ๆ ว่า "พวกเจ้านี่ช่างเถลไถลนัก ทั้งที่เดินทางมาถึงฟากตรงข้ามภูเขานี้ตั้งนานแล้ว แต่ไฉนจึงมาถึงที่นี่ช้าหนัก อาหารที่จัดเตรียมไว้รอพวกเจ้า เย็นชืดไปหมดแล้ว รีบเข้ามาไว ๆ เถิด" บรรดาศิษย์ได้เห็นและได้ยินเสียงโยคีของพวกเขา ต่างปลื้มปีติอย่างเหลือล้น ทั้งร่ำไห้และกระโดดเต้นรำกันด้วยความยินดี พวกเขารีบเข้าไปกราบไหว้ท่าน แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะเอ่ยปากถามอะไร ท่านก็กล่าวขึ้นว่า "ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามสนทนาอะไรกัน เวลานี้เป็นเวลาสำหรับการกินอาหารแล้ว" แต่พวกศิษย์ก็ยังคงเข้าไปกราบไหว้ ทักทายและซักถาม พวกเขามองไปรอบ ๆ ถ้ำ เห็นอาหารต่าง ๆ ที่พวกเขาเตรียมมาแต่ครั้งก่อน ยังไม่ได้พร่องลงเลย

ดุนปะ ชาจากุนะ ถึงกับอุทานขึ้นว่า "ที่แท้ อาหารเหล่านี้ถูกเตรียมไว้เพื่อเป็นมื้อค่ำของพวกเราในวันนี้ แสดงว่าท่านโยคีต้องล่วงรู้ว่าพวกเรากำลังเดินทางมา"

ท่านตอบว่า "ขณะที่เรานั่งอยู่บนหน้าผาหิน เราเห็นพวกเจ้าหยุดพักเหนื่อยอยู่อีกฟากของหุบเขา"

"พวกเราเห็นเสือดาวหิมะตัวหนึ่งที่บริเวณนั้น แต่พวกเรามองไม่เห็นท่าน ท่านอยู่ที่ใดในบริเวณนั้นหรือ" ดุนปะ ชาจากุนะถาม

"เราคือเสือดาวหิมะตัวนั้น" ท่านตอบและกล่าวต่อ "สำหรับโยคีผู้ฝึกปฏิบัติจนจิตและปราณ รวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ย่อมควบคุมธาตุทั้ง ๔ ได้โดยง่าย และสามารถแปลงกายสลับร่างได้ดังประสงค์ ข้าแสดงพลังอำนาจลี้ลับนี้ให้พวกเจ้าได้เห็น เพราะว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์และก้าวหน้า แต่ขอให้พวกเจ้าอย่าได้พูดหรือแพร่งพรายอำนาจเหนือธรรมดานี้แก่ผู้อื่นออกไป"

ชินดอร์โม ถามต่อว่า "ท่านโยคี เหตุใดใบหน้าและร่างกายของท่าน จึงแลดูมีสุขภาพดีกว่าเมื่อปีกลายเสียอีก ทั้งที่เส้นทางทั่วหุบเขาถูกพายุหิมะตัดขาดค่อนปี คงไม่มีผู้ใดนำอาหารมาให้ท่านเป็นแน่ หรือว่าท่านได้รับอาหารจากเทวดาและฑากิณี หรือว่าท่านยังชีพจากจากเศษเนื้อที่เสือสิงห์ล่าทิ้งไว้ อะไรคือความลับนี้ ขอท่านได้โปรดบอกพวกเราด้วยเถิด"


ท่านมิลาเรปะตอบ "ตลอดฤดูแห่งหิมะอันยะเยือก เราใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข้าฌาณ จึงไม่มีเวลาสำหรับการกิน เมื่อถึงวันเทศกาลตันตระ เหล่าฑากิณีพากันมาชุมนุมและให้อาหารแก่เรา ส่วนวันอื่น ๆ เช่นเมื่อวานหรือหลายวันก่อน เรากินแป้งเล็กน้อยเพียงปลายช้อน และเมื่อปลายเดือนม้าที่ผ่านมา เรามีนิมิตเห็นพวกเจ้าพากันมาห้อมล้อมรอบกายเรา ทั้งยังถวายอาหารแก่เราจำนวนมาก เป็นผลทำให้เราไม่รู้สึกหิวไปอีกหลายวัน เราใคร่ขอถามว่า ปกติพวกเจ้าประกอบพิธีอะไรกันหรือ ในวันสุดท้ายของเดือนม้าเช่นนั้น"

เหล่าศิษย์ตอบว่า “วันนั้นเป็นวันที่พวกเราและชาวบ้านจัดให้มีพิธีศักดิ์สิทธิ์บวงสรวงแก่ดวงวิญญาณของท่าน เพราะเชื่อว่าท่านได้ถึงแก่มรณภาพเสียแล้ว”

ท่านมิลาเรปะกล่าวว่า "เมื่อปุถุชนได้ทำบุญบูชาใด ๆ บุญนั้นย่อมส่งผลดีต่อบาร์โด ของพวกเขา แต่กระนั้น การฝึกสติให้ตระหนักถึงบาร์โดแห่งปัจจุบันขณะ ย่อมให้ผลที่ดีกว่าและมีประโยชน์กว่าการประกอบพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว"

จากนั้นบรรดาศิษย์พยายามอ้อนวอนให้ท่านเดินทางกลับหมู่บ้านพร้อมกับพวกตน แต่ท่านปฏิเสธว่า "เราพอใจที่จะพำนักอยู่ที่นี่ การเจริญสมาธิของเราเป็นไปอย่างก้าวหน้า พวกเจ้าโปรดกลับไปกันเองเถิด"

"หากท่านโยคีไม่กลับไปพร้อมกับพวกเรา ชาวบ้านในหมู่บ้านจะต้องพากันตำหนิว่าพวกเราทิ้งท่านไว้ในสุสานแห่งนี้ พวกเขาจะต้องก่นด่าและสาปแช่งพวกเราอย่างแน่นอน"

"หากท่านไม่ยอมกลับไปด้วย พวกเราก็จะหามท่านไป หรือไม่ก็จะนั่งอยู่ในถ้ำนี้จนกว่าความตายจะมาถึง" วุรโมคร่ำครวญ

ท่านไม่สามารถต้านทานการอ้อนวอนของบรรดาศิษย์ได้ จึงยินยอมเดินทางไปพร้อมพวกเขา บรรดาศิษย์พูดขึ้นว่า "บางทีเหล่าฑากิณีอาจไม่ต้องการท่านแล้ว แต่พวกเราศิษย์ผู้เดินตามคำสอนของท่าน ยังต้องการท่านอยู่ เอาละ พวกเรามาแสดงให้เหล่าฑากิณีได้เห็นกันเถิดว่า พวกเราจะเดินลุยหิมะโดยปราศจากรองเท้าหิมะได้อย่างไร"

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดเดินทางออกจากถ้ำเพื่อกลับหมู่บ้านยานอน โดยมีชินดอร์โมเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เพื่อกระจายข่าวให้ชาวบ้านทราบว่า โยคีมิลาเรปะที่พวกเขาเลื่อมใสนั้นยังมีชีวิตอยู่ และกำลังจะเดินทางกลับสู่หมู่บ้าน

เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน พวกเขาผ่านลานหินกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งชาวนาหลายคนกำลังนวดข้าวสาลีกันอยู่ ทันทีที่รู้ว่าโยคีมิลาเรปะมาถึง ชาวนาทั้งชายหญิง เด็กและคนชรา ต่างวิ่งมารวมกลุ่มกันห้อมล้อมจ้องมองท่าน บ้างก็เข้าไปกราบไหว้ บ้างทักทายต้อนรับ บ้างร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจ และบ้างซักถามสารทุกข์สุขของท่าน โยคีมิลาเรปะวางคางของท่านบนหัวไม้เท้า โดยที่ยังมิได้ถอดรองเท้าที่สวมอยู่ และขับร้องบทเพลงขึ้นมาว่า

พวกเจ้าทั้งหลาย ชาวบ้านชายหญิง
และตัวข้า ผู้เฒ่ามิลาเรปะ

ใต้ผืนฟ้าแผ่คลุมเป็นปะรำมงคล ณ สถานที่นี้
พวกเราได้ประสบพบกันอีกครั้ง
ก่อนความตายมาพราก
ข้าจะขานเพลงธรรมเป็นคำตอบ
เพื่อบอกเล่าสารทุกข์สุขของตัวข้า
เชิญทุกคนขยับเข้ามาใกล้ ๆ
และจงตั้งใจฟังคีตาบทนี้

วันสุดท้ายของปีขาล
ก่อนล่วงเข้าปีเถาะ
วันที่หกแห่งวาจัล
จิตข้าสัมผัสสละโลกียโลก
ปรารถนามุ่งสู่ลาชิ ขุนเขาหิมะอันไกลโพ้น
มิลาเรปะ โยคีผู้แสวงสันโดษจึงออกเดินทาง

ประหนึ่งท้องฟ้าและผืนดินร่วมรู้เห็น
สายลมบาดผิวกรรโชกส่ง
แม่น้ำไหลเชี่ยวกระเพื่อมคลื่น
เมฆดำพัดกระจายทั่วสารทิศ
สุริยันจันทราไม่ฉายแสง
ดาว ๒๘ ดวง บนฟากฟ้าเกาะกลุ่มเกี่ยว
ทางช้างเผือกเคลื่อนหมุนวน
ดาวเคราะห์ทั้ง ๘ ถูกร้อยรัดด้วยโซ่เส้นเดียว
เมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว
ท่ามกลางวันคืนที่มืดมัว
หิมะตกลงมา ๙ วัน ๙ คืน
ตกหนักขึ้นและหนักขึ้น
หิมะตกหนักต่อเนื่องไปอีก ๑๘ วัน ๑๘ คืน

หิมะขาวทับถมประหนึ่งกองขนแกะมหึมา
ปลิวสะบัดราวนกน้อยโบยบินเต็มท้องฟ้า
พายุหิมะหมุนวนราวฝูงผึ้งบินว่อน
เกร็ดหิมะกระจายดังกับกระสวยจิ๋ว
ตกไปทั่วราวหว่านเมล็ดถั่ว
นวลขาวราวกับปุยฝ้าย

พายุหิมะตกหนักเกินคณานับ
ห่มคลุมภูเขาทุกลูก
ไม่เว้นยอดเขาสูงเสียดฟ้า
ปกคลุมทั้งพุ่มไม้ใบต่ำ
ตลอดยอดไม้ไพรสูง
ภูเขาที่เคยดำทมึน
พลันกลายเป็นสีขาว
ทะเลสาบทุกลูกแข็งยะเยือก
ธารน้ำใสแข็งเป็นหิน
สีขาวฉาบไปทั่วเนินและทั่วหุบ
หิมะตกหนักเสียจนปีศาจมิอาจออกมาอาละวาด
สัตว์ป่าล้มตายลงด้วยความหนาว
สัตว์เลี้ยงในไร่ปศุสัตว์ถูกทอดทิ้งให้อดตาย
ฝูงนกไร้ที่อยู่
พวกหนูต้องซ่อนอยู่ใต้ดิน

ท่ามกลางหายนะภัยยะเยือก
ตัวข้ายังนิ่งอยู่ในสันโดษ
พำนักสูงบนขุนเขาหิมะ
วันสิ้นปีพายุคุกคามข้าด้วยความหนาว
ตัวข้ามีเพียงผ้าฝ้ายบางพันกาย
ต่อสู้ประหนึ่งน้ำแข็งกระหน่ำลงบนร่าง
กระทั่งพายุหิมะอ่อนกำลังลง
ข้าจึงมีชัยเหนือสายลม
ผ้าพันกาย ของข้าอุ่นดั่งเหล็กอังไฟ

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างชีวิตกับความตาย
เหมือนยักษ์สองตนสู้กันอุตลุต
เหมือนกระบี่สองเล่มฟาดปะทะกัน
ข้าคือโยคีที่ฝึกตนอย่างหนัก
จึงมีชัยเหนือภัยนี้
เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชนชาวพุทธ
และเพื่อเป็นตัวอย่างแก่โยคีทั้งหลาย

พลังความร้อน ภายในกายข้า
อีกทั้งพลังจากช่องปราณทั้งสองถูกเผยออก
เนื่องเพราะข้าเจริญสมาธิ
ใคร่ครวญจนถ่องแท้ถึงเหตุแห่งโรคาทั้ง ๔
จากนั้นภาวนาสู่ภายใน
จดจ่อพิจารณาปราณเย็นและปราณอุ่น
กระทั่งสายลมหิมะภายนอกอ่อนกำลังลง
การศึกนี้แม้กองทัพเทพก็อาจปราชัย
แต่โยคีมิลาเรปะพิชิตได้

ข้าคือบุตรแห่งธรรมผู้มีหนังเสือหุ้มกาย
โดยข้ามิเคยสวมแม้ขนหมาจิ้งจอก
ข้าคือบุตรของพญายักษ์
แต่ข้ามิเคยโกรธเกรี้ยวก้าวร้าว
ข้าคือบุตรราชสีห์ ราชาแห่งสัตว์ป่า
ผู้ใช้ชีวิตสันโดษบนขุนเขาหิมะ
ภารกิจแห่งชีวิต คือเรื่องเล่นของข้า

หากพวกเจ้าเชื่อในเรื่องราวที่ชายชราคนนี้เล่า
จงตั้งใจฟังคำพยากรณ์ของเขา

คำสอนแห่งกาจูปะ จะแผ่ขจรไกล
ผู้บรรลุธรรมกลุ่มหนึ่งจะมาจุติบนพื้นพิภพ
นามมิลาเรปะจะระบือไปทั่วทุกทิศ
พวกเจ้า ศิษย์ผู้เปี่ยมศรัทธาของข้า
จะสถิตย์อยู่ในความทรงจำ
ผู้คนจะสดุดีเรื่องราวของพวกเราในกาลอนาคต

ต่อไปคือคำตอบที่เจ้าถาม
ตัวข้า โยคีมิลาเรปะ
มีความสุขกายสบายใจ
พวกเจ้าเล่า ศิษย์ทั้งหลาย
พวกเจ้าสุขสบายกันดีหรือเปล่า

บทเพลงแห่งความสุขของท่านมิลาเรปะ ดลใจให้ชาวบ้านลุกขึ้นเต้นรำและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ท่านมิลาเรปะซึ่งอยู่ในปีติ ก็ร่วมร้องเพลงและเต้นรำกับชาวบ้านด้วย ลานหินกว้างซึ่งบัดนี้กลายเป็นที่เต้นรำปรากฏรอยพิมพ์เท้าและรอยพิมพ์มือทั้งสองข้างของโยคี ราวกับมีใครไปสลักรอยพิมพ์นั้นไว้ ใจกลางของลานหินยุบต่ำลงเป็นแอ่งเล็ก ๆ ขรุขระ ตั้งแต่นั้นมา ลานหินนี้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ลานหินรอยเท้าสีขาว” และเรียกกันต่อมาอีกว่า “ลานหินรองเท้าหิมะ”

ต่อจากนั้น ชาวบ้านได้เชิญท่านมิลาเรปะเดินทางกลับหมู่บ้าน นางเลเซบุม พูดขึ้นว่า “ท่านโยคีที่นับถือ ไม่มีสิ่งใดจะนำความยินดีแก่พวกเราเท่ากับได้เห็นว่าท่านยังมีชีวิต และเดินทางกลับหมู่บ้านอย่างปลอดภัย อีกทั้งใบหน้าของท่านก็เปล่งรัศมีสดใส สุขภาพของท่านก็ดูแข็งแรงกว่าแต่ก่อน หรือขณะที่ท่านจำศีลอยู่ในถ้ำนั้น เหล่าเทพธิดาได้นำอาหารทิพย์มาถวายท่าน เช่นนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ” เพื่อเป็นการตอบคำถามของนางเลเซบุม ท่านจึงขับลำนำบทนี้

ข้าขอกราบแทบเท้าอาจารย์มาร์ปะ

พรประเสริฐนั้น
ข้าได้รับจากเหล่าฑากิณี
อาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
ข้าได้จากน้ำทิพย์แห่งสมยะ
อาหารบำรุงอายตนะ
ข้าได้จากการอุทิศศรัทธามั่น
ส่วนบุญกุศลนั้น
ข้าสะสมมาจากสานุศิษย์

จิตแต่ละขณะ ล้วนว่างเปล่า
เมื่อใดที่ปราศจากผู้เฝ้าสังเกต และผู้มอง
การเห็นที่แท้จึงถูกตระหนัก

สำหรับการฝึกในกระแสแห่งแสงกระจ่างใส
ไม่มีขั้นไม่มีตอนให้ค้นพบ
ยืนหยัดในวิริยะแห่งการปฏิบัติ
ตราบกระทั่งไร้ผู้ฝึกและไร้การฝึก

ในภูมิแห่งแสงกระจ่างไสว
ที่ซึ่งนามและรูปรวมกันเป็นหนึ่ง
ข้ามองไม่เห็นเหตุ ไม่เห็นปัจจัย
ทั้งหมดคือความว่าง
เมื่อผู้แสดงและการแสดงยุติ
การณ์ทั้งหมดจักกลายเป็นความถูกต้อง

ข้อจำกัดทางปัญญาได้มลายไปในพระธรรมธาตุ
โลกธรรม ๘ ไม่สามารถพัดทั้งความหวังและความกลัวมาสู่
เมื่อไม่มีคำสอน และไม่มีผู้เจริญตามคำสอน
วินัยจึงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

ด้วยตระหนักรู้ว่าจิตคือพระธรรมกาย
เป็นกายแท้แห่งพุทธะ
เมื่อตั้งปณิธานแน่วแน่
ที่จะยังประโยชน์แก่สรรพสัตว์
เมื่อข้อควรปฏิบัติและผู้ปฏิบัติไม่ปรากฏแล้ว
ธรรมะจึงบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

นี่คือบทเพลงแห่งปีติ
ผู้เฒ่ามิลาเรปะขับขานเพื่อตอบศิษย์
พายุหิมะตกหนักและปิดล้อม
ขีดเขตสถานภาวนาของข้า
ข้ารับอาหารยังชีพจากเหล่าฑากิณี
ได้น้ำบริสุทธิ์จากหิมะภูเขา
ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
ใยข้าต้องเพาะปลูก ในเมื่อข้ามิได้กินมาก
ห้องเสบียงของข้าเต็มเปี่ยมโดยไม่ข้าไม่เคยสะสม
เพียงสังเกตเข้าไปในจิต ข้าก็เห็นทุกสิ่ง
เพียงนั่งลงบนที่ต่ำ ก็จักได้นั่งบนบัลลังก์
เพราะอาจารย์มีกรุณา
ข้าจึงบรรลุอย่างสมบูรณ์
บุญคุณนี้ต้องตอบแทนด้วยการปฏิบัติธรรม
สานุศิษย์และผู้ติดตามที่มาชุมนุมกันวันนี้
ผู้เปี่ยมด้วยศรัทธาบริการ
ขอให้พวกเจ้าประสบสุขและเบิกบานกันถ้วนทั่ว

เมื่อท่านมิลาเรปะขับขานคีตาจบ ดุนปะ ชาจากุนะ ก้มลงกราบท่าน และพูดว่า “นับเป็นความอัศจรรย์ใจ และน่าดีใจจริง ๆ ที่ได้เรียนรู้ว่า พายุหิมะซึ่งตกหนักขนาดนั้น ไม่สามารถทำอันตรายท่านได้ อีกทั้งพวกเราสานุศิษย์ ยังสามารถกลับสู่หมู่บ้านอย่างปลอดภัยพร้อมกับท่านเสียอีกด้วย เป็นความปรีดาอย่างเหลือล้น ที่ศิษย์ได้เห็นอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง และพวกเราคงจะปีติอย่างยิ่ง หากท่านอาจารย์จะกรุณาเล่าถึงประสบการณ์การเจริญสมาธิตลอดฤดูหนาว เพื่อมอบเป็นของขวัญในการกลับมาของท่านแด่พวกเราด้วย”

ท่านมิลาเรปะตอบคำขอร้องของชาจากุนะ ด้วยบทเพลงเกี่ยวกับ “สารัตถะทั้ง ๖ จากประสบการณ์ภาวนา” เพื่อเป็นธรรมทานแก่ชาวบ้าน

น้อมคารวะท่านอาจารย์
ผู้พร้อมด้วยบารมีทั้ง ๓ ขั้น

ค่ำวันนี้
เพราะคำร้องขอจากศิษย์ชาจากุนะ และดอร์โม
ข้าจะเล่าประสบการณ์ยามเข้าฌาน
ครั้งพำนักอยู่ในสถานสันโดษอันไกลโพ้น

ด้วยแรงอธิษฐานอันบริสุทธิ์
พวกเราจึงได้มาชุมนุมกันวันนี้
ด้วยบารมีแห่งพระธรรมคำสอน
ข้าจึงได้มาพบพวกเจ้าพร้อมหน้า
ลูก ๆ ทั้งหลาย สิ่งที่พวกเจ้าถาม
ข้าผู้เป็นบิดาจะตอบ มอบเป็นธรรมทาน

ข้าละทิ้งชีวิตทางโลก
ด้วยเกิดธรรมสังเวช
จึงเดินทางมุ่งสู่ลาชิ ขุนเขาแห่งหิมะ
เพื่อจำศีลถือสันโดษในถ้ำปราบอสูร
เป็นเวลานาน ๖ เดือนเต็ม
ข้าเจริญภาวนา และก้าวหน้าในสมาธิ
บัดนี้ ข้าจะเล่าประสบการณ์ให้พวกเจ้าฟัง
ผ่านคีตาแห่งสารัตถะทั้ง ๖

หนึ่งนั้นคือ อุปมาปรากฏการณ์จากภายนอก ๖ อย่าง
สองคือ ความบกพร่องจากภายใน ๖ ประการ
ซึ่งจักต้องพิจารณาโดยแยบคาย
สามคือ พันธนาการ ทั้ง ๖
ที่จองจำเราไว้ในวัฏสงสาร
สี่คือ หนทาง ๖ สาย
ซึ่งจะนำเราไปสู่ความหลุดพ้น
ห้าคือ แก่นแท้ของความรู้ทั้ง ๖
ซึ่งจะเสริมศรัทธาปสาทะ
หกนั้นคือ ประสบการณ์ปีติ ๖ ประการ
อันเกิดแต่การเจริญสมาธิ

หากใครยังจำบทเพลงนี้ไม่ค่อยได้
ถ้าบทเพลงนี้ยังไม่ประทับลงไปในจิต
จงตั้งใจฟังใหม่
ข้าจะขยายอรรถาธิบาย

ที่ใดมีสิ่งกีดขวาง
ที่นั้นมิอาจเรียกว่า “ที่ว่าง”
หากสามารถบอกจำนวนนับได้
สิ่งนั้นมิอาจเรียกว่า “ดวงดาว”
เรามิควรกล่าวว่านี่คือ “ขุนเขา”
หากสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนที่หรือสั่นไหว
“มหาสมุทร” มิอาจถูกขานนาม
หากยังงอกออกและหดเข้า
มิควรเรียกผู้ใดว่า “นักว่ายน้ำ”
หากเขายังต้องการสะพานข้าม
และย่อมมิใช่ “สายรุ้ง”
หากสิ่งนั้นจับต้องและคว้าได้
ทั้งหมดที่เอ่ยมานี้แล
คืออุปมาปรากฏการณ์จากภายนอก ๖ อย่าง

หากความชัดเจนยังคลุมเครือ
หากความเข้าใจยังมีข้อจำกัด
หากยังคงซึมเซาง่วงหาว
หากยังวอกแวกฟุ้งซ่าน
นั่นย่อมไม่ใช่การเจริญสมาธิ

การยอมรับหรือปฏิเสธ
ไม่ใช่จุดหมายของการภาวนา
หากความคิดยังไหลเลื่อนเรื่อยไป
ย่อมไม่ใช่โยคะปฏิบัติ

หากยังมีทิศตะวันออกและตะวันตก
ย่อมมิใช่ปัญญาที่แท้
หากยังมีเกิด มีดับ
ย่อมไม่ใช่ธรรมะ
เหล่านี้คือ ความบกพร่องจากภายใน ๖ ประการ

สัตว์นรกถูกพันธนาการด้วยความเกลียดชัง
ผีเปรตถูกจองจำอยู่ในทุกข์เข็ญ
เดรัจฉานคลำไปในความมืดบอด
ส่วนมนุษย์หมกมุ่นในกามตัณหา
อสูรนั้นเล่าผูกกับริษยา
เทพบนสวรรค์ยึดมานะหยิ่งลำพอง
ภูมิเหล่านี้คือ เครื่องพันธนาการทั้ง ๖
ซึ่งจองจำและขวางทางสู่อิสรภาพ

มีศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ปสาทะไม่สงสัย
มีคุรุทรงปัญญาและเข้มงวด
มีศิษย์ใฝ่สิกขา
จำศีลถือสันโดษ
ตั้งใจมั่น พากเพียรอุตสาหะ
ปฏิบัติ เจริญภาวนา
เหล่านี้คือ ทาง ๖ สายนำสู่อิสรภาพ

ปัญญาเดิมแท้ คือมณฑลอันเป็นปฐม
มณฑลแห่งความตระหนักรู้ ย่อมไม่มีนอก ไม่มีใน
มณฑลแห่งความรู้แจ้ง ย่อมไม่มืด และไม่สว่าง
มณฑลแห่งพระธรรม ย่อมแผ่ซ่านทั่วทุกหน
มณฑลแห่งปรมัตถสัจจ์ ย่อมมิอาจแปรเปลี่ยน
มณฑลแห่งประสบการณ์ ย่อมไม่ชะงักด้วยอุปสรรค
เหล่านี้คือ แก่นแท้ของปัญญา ๖ ประการ ซึ่งจะไม่โยกคลอน

ปีติสุขจะบังเกิด
เมื่อพลังความร้อนภายในถูกกระตุ้น
เมื่อปราณจากนาทิ เคลื่อนอยู่ในช่องปราณกลาง
เมื่อโพธิจิตเคลื่อนขึ้นสู่เบื้องบน
เมื่อเบื้องต่ำถูกชำระให้บริสุทธิ์
และเมื่อสีขาวและสีแดง มาพบกันในปราณกลาง
ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์ปิติทั้ง ๖ จากการปฏิบัติ

เพื่อโปรดพวกเจ้า ลูก ๆ สานุศิษย์
ข้าจึงขานคีตาแห่งสารัตถะ ๖
จากประสบการณ์ภาวนาตลอดฤดูหนาว
การพบกันวันนี้ยังความยินดีมาสู่ทุกคน
ขอเชิญดื่มน้ำทิพย์จากบทเพลงของข้า
ทุกคนคงเบิกบานและเปี่ยมสุข
คำขอของพวกเจ้า คงได้คำตอบแล้ว

แม้เป็นเพียงคีตาโง่ ๆ
ที่ขับขานโดยโยคีเฒ่าคนนี้
แต่อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลนไป
นี่เป็นของขวัญจากพระธรรม
ขอจงก้าวไปข้างหน้าด้วยจิตเบิกบาน
บนเส้นทางแห่งคำสอนอันประเสริฐ

เมื่อฟังจบ นางชินดอร์โมอุทานขึ้นว่า “ท่านโยคีผู้น่าเลื่อมใส ท่านเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โอกาสที่ได้ถวายปัจจัยบริการและเรียนรู้จากท่าน เป็นโอกาสดีซึ่งจะหายากยิ่ง ใครก็ตามที่ไม่ศรัทธาในตัวท่าน เขาเหล่านั้นนับว่าเป็นคนโง่เสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน”

ท่านมิลาเรปะตอบ “มันไม่สำคัญนักดอก ที่ใครผู้ใดจะศรัทธาในตัวข้าหรือไม่ และไม่ว่าใครจะเลือกเดินบนเส้นทางไหนก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อพวกเจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังถือกำเนิดอยู่ในกาลเทศะอันมีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง คงจะเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง ถ้าหากพวกเจ้าละทิ้งโอกาสในการศึกษาพระธรรม” เมื่อกล่าวจบ ท่านได้ขานคีตาโศลกนี้

ข้าขอกราบแทบเท้าท่านนักแปล
อาจารย์มาร์ปะ

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังคงทำชั่วโดยไม่ยั้งคิด
ทั้งที่มีพระธรรมบริสุทธิ์แผ่กระจายอยู่รายรอบ

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังใช้ชีวิตโดยปราศจากความหมาย
ทั้งที่การเกิดมาเป็นมนุษย์ คือของขวัญวิเศษ

เป็นเรื่องน่าขัน
หากจองจำตัวเองอยู่แต่ในเมือง

เป็นเรื่องน่าสังเวช
หากมัวทะเลาะวิวาทกับคู่และญาติมิตร
เพราะพวกเขาล้วนเป็นแขกผู้มาเยือน

เป็นเรื่องเหลวไหล
หากหลงติดใจคำหวานระรื่นหู
เพราะถ้อยคำล้วนเป็นเพียงเสียงก้องอันว่างเปล่าในความฝัน

เป็นความขลาดเขลา
หากมัวทำศึกต่อสู้กับศัตรูโดยไม่เสียดายชีวิต
เพราะพวกเขาเปราะบางยิ่งกว่าดอกไม้

เป็นความโง่เขลาอย่างยิ่ง
หากกำลังจะตาย แต่ยังทุกข์ถวิลห่วงครอบครัว
ซึ่งพันธนาการเขาไว้ในคฤหาสน์มายา

เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา
หากยังตระหนี่หวงทรัพย์สมบัติ
ซึ่งล้วนคือหนี้หยิบยืมมาจากผู้อื่น

เป็นเรื่องน่าหัวเราะ
หากมัวพะวงกับอาภรณ์ประดับกาย
เพราะร่างกายเป็นเพียงท่อลำเลียงสิ่งโสโครก

เป็นเรื่องเขลาอย่างยิ่ง
หากต้องใช้กำลังอย่างหนัก
เพียงเพื่อแสวงทรัพย์และหวังมั่งคั่ง
โดยละเลยน้ำทิพย์แห่งพระธรรมจากภายใน

ในกลุ่มคนโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้น
ผู้ฉลาดและมีสติเท่านั้น จึงปฏิบัติธรรม
เฉกเช่นข้า

ชาวบ้านที่มาชุมนุมกัน ต่างกล่าวกับท่านมิลาเรปะว่า “พวกเรารู้สึกปลื้มปีติอย่างสุดซึ้ง ที่ได้สดับบทเพลงแห่งปัญญา แต่พวกเราคงไม่มีความพากเพียรและสติปัญญาเทียบเท่าท่าน คงกระทำได้เพียงแต่พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะนำไปสู่ความโง่เขลา ตามที่ท่านได้เทศนาแล้ว แต่ความปรารถนาเพียงสิ่งเดียวของพวกเรา คือการได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดท่านต่อไป เพื่อยามที่ยังมีชีวิตอยู่จักได้ปรนนิบัติรับใช้ และศึกษาพระธรรมจากท่าน และเมื่อตายไป ความกรุณาของท่านจะช่วยนำวิญญาณของพวกเราให้ปลอดภัย”

ท่านมิลาเรปะตอบ “ตามโอวาทแห่งอาจารย์ของข้า ข้ายังต้องจำศีลถือสันโดษอยู่ที่ลาชิ ภูเขาหิมะต่อไป ข้าจะพำนักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราว ไม่สามารถอาศัยอยู่ตลอดไปเช่นฆราวาสอย่างพวกเจ้า หากข้าอยู่กับพวกเจ้านานเกินไป ไมตรีจิตและความเลื่อมใสศรัทธาจะเสื่อมลง” จากนั้น ท่านได้ขับคีตาโศลกนี้

ขอน้อมบูชาอาจารย์มาร์ปะ ผู้เป็นนักแปล

สานุศิษย์ของข้าทั้งชายหญิง
ผู้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้
ผู้เปี่ยมศรัทธา
และเลื่อมใสข้าอย่างจริงใจ

หากพำนักอยู่กับสหายนานเกินไป
ย่อมถูกหน่ายได้ในไม่ช้า
ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าใด
ยิ่งพาให้เบื่อและชังน้ำหน้า
ปุถุชนมักคาดหวังและเรียกร้องต่อกันมากเกินไป

ธรรมชาติแห่งความขัดแย้งของมนุษย์
ทำให้ละเลยคำสอน
การคบมิตรเลว
อาจพาไปสู่การทำความผิด
คำพูดที่ตรงเกินไป
มักเป็นภัยเมื่อพูดในฝูงชน
การถกเถียงเพื่อหาผิดหรือหาถูก
ล้วนก่อศัตรูเพิ่ม

การยึดในทิฏฐิมานะ
แบ่งนิกาย แบ่งแยกคำสอน
ย่อมนำความเสื่อมและบาปมาสู่ตน

การสนองคำร้องขอของผู้มีจิตศรัทธา
อาจเป็นเหตุก่อให้เกิดความคิดที่ไม่ดี

การพึงใจในเครื่องเซ่นของคนตายนั้นเป็นบาป
เครื่องบริขารอย่างโลก ๆ นั้นไม่จำเป็น

มิตรภาพมักก่อความบาดหมาง
ความบาดหมางก่อความโกรธเกลียด

ยิ่งเป็นเจ้าของถือครองมากเท่าใด
ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เมื่อความตายมาถึง
ความทุกข์และความโศกเศร้าเหล่านี้
เป็นเรื่องไม่น่าทนอย่างยิ่ง
สำหรับโยคีผู้สันโดษ

ตัวข้า มิลาเรปะ
กำลังจะไปจำศีลอยู่วิเวก
สานุศิษย์ผู้เปี่ยมศรัทธาทั้งชายหญิง
เป็นเรื่องดีที่พวกเจ้าเพียรสั่งสมบุญ
เป็นเรื่องประเสริฐที่พวกเจ้าถวายเครื่องบูชา
และปรนนิบัติบริการอาจารย์เจ้า
ข้าขอยืนยันความตั้งใจ
ว่าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้าบ่อย ๆ

ชาวบ้านทั้งหมดพูดต่อท่านมิลาเรปะว่า “พวกเราไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะฟังคำสอนจากท่านเลย แต่บางทีท่านอาจจะเบื่อหน่ายพวกเราอยู่บ้าง พวกเราทราบดีว่า ไม่ว่าเราจะอ้อนวอนท่านอย่างไร ก็คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่หวังว่า ท่านจะเดินทางจากลาชิมาเยี่ยมพวกเราในเร็ววัน “

ชาวบ้านถวายสิ่งของและอาหารจำนวนมากแก่ท่านมิลาเรปะ แต่ท่านไม่รับสิ่งของและอาหารเหล่านั้น ทำให้ชาวบ้านยิ่งเลื่อมใสศรัทธามากขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความสุขและเบิกบานใจ ชาวบ้านทั้งหมดพากันให้คำมั่นว่า พวกเขาจะคงความศรัทธาต่อท่านอย่างไม่เสื่อมคลายตลอดไป

ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวของโยคีมิลาเรปะจากเทือกเขาหิมะ

...............................